จับตำรวจท่องเที่ยว เก็บส่วย ผับ บาร์ ฝ่ายปกครอง ล้อมรถสายตรวจ รวบตัว

เผยนาที จนท.ฝ่ายปกครอง ซ้อนแผนจับ ด.ต. สังกัดท่องเที่ยว ใช้รถสายตรวจตระเวนเก็บส่วยผับ บาร์ เกือบต้องยิงสกัดวุ่น ด้านต้นสังกัดสั่งสอบ พร้อมให้ออกจากราชการไว้ก่อน

วันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ข่าวช่อง 3 รายงานว่า กรมการปกครองพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำกำลังเข้าจับกุมตัว ด.ต. ภูวเมศร์ ผบ.หมู่ ส.ทท.1 กก.1 บก.ทท.3 พร้อมด้วย นายมานัส อายุ 46 ปี บริเวณลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พื้นที่ ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ขณะ ด.ต. ภูวเมศร์ และนายมนัส ขับรถมาตระเวนเก็บส่วยสถานบันเทิงใน จ.นนทบุรี

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายคู่ใจ

ปรากฏว่า ขณะบุกเข้าจับกุมนั้นเป็นไปด้วยความชุลมุน เนื่องจากผู้ก่อเหตุพยายามจะหลบหนีจนเกือบเกิดเหตุยิงปะทะกัน โชคดีที่เจ้าหน้าที่ทำการขับรถล้อมไว้ไม่ให้หลบหนีออกจากบริเวณลานจอดรถได้ โดยพบว่า ด.ต. ภูวเมศร์ ขับรถสายตรวจตำรวจท่องเที่ยวยี่ห้อ โตโยต้า สีบรอนซ์เงิน ส่วนนายมานัส ขับรถนิสสัน ซันนี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียนกรุงเทพฯ ภายหลังการจับกุมตรวจสอบพบธนบัตรที่ใช้ในการล่อจับภายในรถยนต์ของนายมานัส เป็นเงินสดจำนวน 100,000 บาท

การจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากกรมการปกครอง ทราบข้อมูลว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง โทร. หาผู้ประกอบการ ผับ บาร์ ทั่วกรุงเทพฯ โดยเรียกเก็บค่าดูแล เป็นค่าเปิดตั๋วในการดูแลครั้งแรก 5,000 บาท และรายเดือน เดือนละ 4,000 บาท หรือ 3,000 บาท หากร้านใดไม่จ่ายเงิน ก็จะขู่ว่าชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองจะจับกุมและสั่งปิดร้านนั้น จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายรายหวาดกลัว และยอมจ่ายค่าดูแลให้แก่มิจฉาชีพกลุ่มนี้ ต่อมาจึงวางแผนจับกุมขณะทั้งคู่ตระเวนเก็บส่วยดังกล่าว

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายคู่ใจ

ล่าสุด (8 กรกฎาคม ) พล.ต.อ. วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ทาง ผบ.ตร. สั่งการให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน เพราะเป็นกรณีที่สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากตำรวจคนใดกระทำผิดกฎหมายเสียเองก็จะต้องถูกดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว โดยทางต้นสังกัดได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงโดยไม่ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้มีคำสั่งให้ ด.ต. ภูวเมศร์ ออกจากราชการไว้ก่อนโดยเร็วที่สุด พร้อมดำเนินคดีอาญาอย่างรัดกุม รวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้สังคมเห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่ปกป้องตำรวจที่กระทำผิดในลักษณะนี้อย่างแน่นอน