ฝ่ายรับคนเข้าทำงาน โพสต์เล่าปัดตกคนเปลี่ยนงานบ่อย แม้ตำแหน่งสูง เคยทำกับบริษัทใหญ่เพียบ รับเงินเดือน 6 หลัก เชื่อไม่อดทนและขาดประสบการณ์ ชี้จะหางานยากเพราะประวัติติดตัว งานนี้เจอทัวร์ลงสนั่น
หากพูดถึงเรื่องการสมัครงานในที่ใหม่ อาจจะมีหลายองค์ประกอบในการพิจารณาว่าจะรับเข้าทำงานหรือไม่ ซึ่งนอกจากความสามารถหรือประสบการณ์แล้ว บางแห่งยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ถูกนำมาใช้ตัดสินใจเช่นกัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 5 สิงหาคม 2565 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาแชร์ประสบการณ์สำหรับผู้ที่จะสมัครงาน เตือนคนที่เปลี่ยนงานบ่อยว่าจุดนี้ถือเป็นความอันตรายต่อประวัติการทำงาน พร้อมกับยกตัวอย่างที่ตนได้พิจารณาผู้สมัครทำงานคนหนึ่ง ได้ลองทดสอบงานคร่าว ๆ ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร เมื่อมาดูใน CV มีบางจุดที่ทำให้ร้องยี้และปัดตกไปทันที
โดยผู้สมัครงานคนดังกล่าว มีประสบการณ์ทำงาน 4 ปี ทำงานมา 4 แห่ง แบ่งคร่าว ๆ คือทำมา 3 สายธุรกิจ บริษัทแรกทำ 2 ปีครึ่ง ส่วนอีก 3 บริษัทล่าสุดก็ถือว่าเป็นที่รู้จักในวงการ ซึ่งผู้สมัครคนนี้เข้าไปทำงาน 6 เดือน 10 เดือน และ 2 เดือน ตามลำดับ เงินเดือนตอนนี้ 6 หลัก ตำแหน่งงานเดิม แต่ขึ้นลำดับมาเรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาทั้งหมด ตนจึงปัดตกไม่รับเข้าทำด้วยเหตุผล เช่น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 5 สิงหาคม 2565 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาแชร์ประสบการณ์สำหรับผู้ที่จะสมัครงาน เตือนคนที่เปลี่ยนงานบ่อยว่าจุดนี้ถือเป็นความอันตรายต่อประวัติการทำงาน พร้อมกับยกตัวอย่างที่ตนได้พิจารณาผู้สมัครทำงานคนหนึ่ง ได้ลองทดสอบงานคร่าว ๆ ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร เมื่อมาดูใน CV มีบางจุดที่ทำให้ร้องยี้และปัดตกไปทันที
โดยผู้สมัครงานคนดังกล่าว มีประสบการณ์ทำงาน 4 ปี ทำงานมา 4 แห่ง แบ่งคร่าว ๆ คือทำมา 3 สายธุรกิจ บริษัทแรกทำ 2 ปีครึ่ง ส่วนอีก 3 บริษัทล่าสุดก็ถือว่าเป็นที่รู้จักในวงการ ซึ่งผู้สมัครคนนี้เข้าไปทำงาน 6 เดือน 10 เดือน และ 2 เดือน ตามลำดับ เงินเดือนตอนนี้ 6 หลัก ตำแหน่งงานเดิม แต่ขึ้นลำดับมาเรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาทั้งหมด ตนจึงปัดตกไม่รับเข้าทำด้วยเหตุผล เช่น
มองว่า ผู้สมัครคนนี้เป็น Job Hopper (เปลี่ยนงานบ่อย)
มองว่าไม่มีความอดทนในแต่ละสายธุรกิจเพื่อให้เชี่ยวชาญ
ปกติต้องใช้เวลาเป็นปี เชื่อว่ารับเข้ามาไม่นานเดี๋ยวก็ออก
แม้เงินเดือนหรือตำแหน่งจะอยู่ระดับซีเนียร์
แต่เสี่ยงไม่เชี่ยวชาญกับเนื้องาน ขาดการมองภาพกว้าง
อาจยังมีวัยวุฒิไม่พอในการคุมผู้คน เป็นต้น
สิ่งที่แย่กว่านั้นคือจากประวัติของผู้สมัครรายนี้เชื่อว่าคงไปทำงานที่อื่นต่อได้ยาก เพราะประวัตินั้นแก้ไขกันไม่ได้ เผลอ ๆ อาจะถูกแบล็กลิสต์ในวงการ ยืนยันว่าตนไม่ได้อคติตัดสินคนจากที่เปลี่ยนงานบ่อย แต่จากที่ตนเคยทำงานกับคนกลุ่มนี้พบว่าทำงานไม่ได้เก่งเท่ากับตำแหน่งที่ได้รับเท่าไร จึงอยากแนะนำว่าไม่ควรเข้าไปทำงานแบบผิวเผินแล้วออก มองว่าควรต้องทำอย่างน้อยสัก 1.5 ปี จึงจะมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจนั้นจริง ๆ และยิ่งช่วงนี้ตลาดกำลังขาดแคลนคน การมีประวัติเปลี่ยนงานบ่อยก็อาจถูกนำมาพิจารณาเช่นกัน
![สมัครงาน]( "สมัครงาน")
![สมัครงาน]( "สมัครงาน")
สิ่งที่แย่กว่านั้นคือจากประวัติของผู้สมัครรายนี้เชื่อว่าคงไปทำงานที่อื่นต่อได้ยาก เพราะประวัตินั้นแก้ไขกันไม่ได้ เผลอ ๆ อาจะถูกแบล็กลิสต์ในวงการ ยืนยันว่าตนไม่ได้อคติตัดสินคนจากที่เปลี่ยนงานบ่อย แต่จากที่ตนเคยทำงานกับคนกลุ่มนี้พบว่าทำงานไม่ได้เก่งเท่ากับตำแหน่งที่ได้รับเท่าไร จึงอยากแนะนำว่าไม่ควรเข้าไปทำงานแบบผิวเผินแล้วออก มองว่าควรต้องทำอย่างน้อยสัก 1.5 ปี จึงจะมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจนั้นจริง ๆ และยิ่งช่วงนี้ตลาดกำลังขาดแคลนคน การมีประวัติเปลี่ยนงานบ่อยก็อาจถูกนำมาพิจารณาเช่นกัน
หลายฝ่ายชี้ เปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มเงินเดือน ผิดตรงไหน ทำงานที่เดียวนาน ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นของตาย
การเลือกปัดตกผู้สมัครคนดังกล่าว ทั้งที่ยังไม่ได้สอบถามถึงเหตุผลที่เขาเลือกเปลี่ยนงาน เปลี่ยนสายงาน ปิดโอกาสได้เรียนรู้และความเข้าใจธุรกิจอื่น ๆ ให้มากขึ้นว่ามีข้อดี ข้อเสียอะไร จึงไม่สามารถดึงดูดให้พนักงานเลือกทำงานต่อ หรือเพราะเหตุใดบริษัทชั้นนำดังกล่าวเคยเลือกรับผู้สมัครคนนี้เข้าทำงาน ดังนั้นการด่วนสรุปเช่นนี้จึงถือเป็นความผิดพลาดเช่นกันหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีคนกล่าวถึงกรณีนี้ว่า หากพนักงานมองว่าบริษัทที่ทำอยู่ ไม่ตรงกับความต้องการของตน ทั้งเรื่องเงิน ทั้งที่ตั้ง สภาพแวดล้อมและปัจจัยอื่น ๆ ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องทนอยู่ และการเปลี่ยนงานนั้น มักจะทำให้คนคนนั้นสามารถต่อรองเงินเดือนได้มากกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกัน ความคาดหวังจากบริษัทใหม่ก็เพิ่มขึ้นมาด้วย หากคิดว่าต้องการเพิ่มเงินเดือนด้วยการเปลี่ยนงานบ่อย ๆ เรื่อย ๆ แต่ความสามารถยังเท่าเดิม สุดท้ายก็จะเสี่ยงที่จะตกงานเอาง่าย ๆ ยกเว้นแต่เพียงว่าคุณทำงานหนักในสายงานนั้น ๆ แล้วรายได้น้อยกว่าที่ควรจะเปลี่ยนงาน
นอกจากนี้ ยังมีเสียงสะท้อนจากคนที่ไม่เปลี่ยนงานว่า การทำที่เดิมไปนาน ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่คิด เพราะมีโอกาสที่จะถูกมองข้าม ไม่ได้รับการพัฒนา และมีไม่ความก้าวหน้า และก็ไม่มั่นใจว่าจะมีประสบการณ์ในการไปหางานใหม่ ๆ ได้หรือไม่เช่นกัน
อีกฝั่งชี้ บริษัทมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ คัดคนเข้ามายากแล้ว ปรับตัวให้เข้ากับองค์กร ยากกว่า
ในขณะเดียวกัน หลายคนก็มองว่าไม่ใช่เรื่องผิด ที่บริษัทจะปฏิเสธแคนดิเดตที่เปลี่ยนงานบ่อย ๆ เพราะกว่าจะผ่านกระบวนการสรรหา ผ่านการทำงาน ปรับทัศนคติให้เข้ากันทั้งในเรื่องการทำงานและปรับตัวให้เข้ากับองค์กร ถือเป็นเรื่องที่กินเวลา และถ้าหากเจอแคนดิเดตที่ตรงใจ แต่เห็นประวัติเปลี่ยนงานบ่อย อาจจะโทร. ไปถามก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อที่เมื่อได้ข้อมูลแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย และบริษัทเองก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับคนในองค์กร ไม่น้อยไปกว่าคนนอกองค์กร บางทีพนักงานเก่าก็มีความสามารถที่ควรได้รับการผลักดัน ไม่ใช่มุ่งแต่จะหาคนใหม่เข้ามาอย่างเดียว
