ชายชราชาวญี่ปุ่นวัย 81 ปี ผลักภรรยาวัย 79 ปี ลงทะเลทั้งรถเข็น โดนจับสารภาพจุกหัวใจ บอกเหนื่อย หลังดูแลเธอมา 40 ปี
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เว็บไซต์ Hk01 เผยรายงานสุดสะเทือนใจจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 17.20 น. ชาวประมงในพื้นที่ท่าเรือโออิโซะ จังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น พบหญิงชรารายหนึ่งตกน้ำทะเลไม่ได้สติ จึงรีบแจ้งหน่วยงานท่าเรือให้ประสานทีมแพทย์ฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่ตำรวจในทันที
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากหญิงชรารายดังกล่าวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ไม่สามารถช่วยยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ได้ ก่อนที่จะประกาศการเสียชีวิตของเธอในเวลา 19.00 น. ด้านเจ้าหน้าที่สืบทราบตัวตนของหญิงชรารายดังกล่าว ระบุชื่อว่า ฟุจิวาระ เทรุโกะ อายุ 79 ปี ต่อมา ทางลูกชายของเธอได้โทรศัพท์เข้ามาแจ้งเบาะแสคนร้ายทั้งน้ำตา กล่าวว่า "พ่อบอกว่าผลักแม่ลงทะเล"
ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่น ระบุว่า ฟุจิวาระ ฮิโรชิ วัย 81 ปี สามีของเทรุโกะ ยอมรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุ เขาโกหกภรรยาว่าจะพาไปเดินเล่น แต่เมื่อไปถึงที่บริเวณท่าเรือ เขาได้ตัดสินใจผลักเธอตกลงไปในทะเล พร้อมกับรถเข็นวีลแชร์ที่เธอนั่ง ภายหลังจากก่อเหตุ เขาก็เดินทางไปยังบ้านของลูกชายคนโต เพื่อสารภาพความผิด
ฮิโรชิถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ส่วนสาเหตุแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ เขากล่าวว่า "ฉันดูแลเธอมา 40 ปีแล้ว และฉันก็เหนื่อยมาก"
ตำรวจยังคงสอบสวนรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ทั้งนี้ มีรายงานเผยว่า เพื่อนบ้านของคู่สามีภรรยาวัยชราดังกล่าว เห็นฮิโรชิอุทิศตนดูแลภรรยาผู้พิการมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี ต่างรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าสุดท้ายจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมสุดสะเทือนใจเช่นนี้
หญิงรายหนึ่งที่อาศัยในอพาร์ตเมนต์เดียวกัน กล่าวว่า "เขา (ฮิโรชิ) ใจดีเป็นมิตร มักจะคอยดูแลรับ-ส่งภรรยาที่พิการอยู่เสมอ เขาทุ่มเทให้กับภรรยาของเขามาก และไม่มีอะไรที่บ่งบอกได้เลยว่าเขาจะสามารถฆ่าเธอได้ แต่ฉันคิดว่าเขาคงกำลังทุกข์ทรมานดิ้นรนอยู่ภายใน"
ภายหลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปบนสื่อออนไลน์ ก็ได้สร้างความสลดใจให้กับผู้คนในวงกว้าง มีรายหนึ่งคอมเมนต์ระบุว่า "มันน่าเศร้าแค่ไหน หลังจากหลายสิบปีผ่านไป ชายผู้นี้ยอมแพ้และตัดสินใจยุติชีวิตคู่ของเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลายคนจะเข้าใจ เว้นแต่คุณจะเคยตกอยู่สถานการณ์เดียวกัน"
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก Hk01, South China Morning Post, Asahi