ย้อนคดีสยอง หมอผีปากีสถานถูกตำรวจล่า หลังตอกตะปูขนาด 5 เซนติเมตร เข้ากะโหลกศีรษะหญิงตั้งครรภ์ อ้างจะช่วยให้คลอดลูกชาย หลังมีลูกสาวมา 3 คน จนผัวขู่จะทิ้ง ถ้าท้องนี้เป็นลูกสาวอีก
นับเป็นประเด็นปัญหาในครอบครัวที่มีมาอย่างยาวนาน กับการที่ครอบครัวคาดหวังให้ฝ่ายภรรยาคลอดลูกชาย แทนที่จะเป็นลูกสาว จนยอมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองสามารถมีลูกชายมาสืบทอดครอบครัว รวมถึงเรื่องราวชวนช็อกที่เกิดขึ้นประเทศปากีสถาน ที่หมอผีรายหนึ่งแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ตอกตะปูยาว 5 เซนติเมตรเข้าไปที่กะโหลกศีรษะ โดยอ้างว่าจะช่วยให้ได้ลูกชายสมใจ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยจากรายงานของสำนักข่าวบีบีซี เผยว่า ตำรวจปากีสถานได้ออกล่าตัวเพื่อจับกุมหมอผีรายที่ทำพิธีตอกตะปูใส่กะโหลกศีรษะของหญิงตั้งครรภ์ หลังจากมีภาพเอกซเรย์ชวนสะพรึงของเธอถูกแชร์ไปว่อนโลกออนไลน์
รายงานเผยว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เผยชื่อรายนี้ มาขอความช่วยเหลือจากแพทย์ที่โรงพยาบาล Lady Reading Hospital ในเมืองเปศวาร์ หลังจากที่เธอพยายามใช้คีมคีบตะปูยาว 5 เซนติเมตร ออกจากศีรษะของตัวเอง แต่ไม่สำเร็จ โดยตอนแรกเธออ้างว่าเป็นคนตอกตะปูใส่ศีรษะตัวเอง จนต่อมาจึงยอมรับว่าเป็นฝีมือของหมอฝี ที่ยืนยันว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้เธอคลอดลูกออกมาเป็นเด็กชาย
ภาพจาก LADY READING HOSPITAL
ดร.ไฮเดอร์ ข่าน แพทย์ผู้ทำการรักษา เผยว่า หญิงรายนี้ยังมีสติรู้ตัวดีตอนมาถึงโรงพยาบาล แต่อยู่ในสภาพที่เจ็บปวดอย่างมาก
ขณะที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเผยกับสื่อว่า หญิงรายนี้ตัดสินใจไปหาหมอผี หลังจากที่ตัวเองมีลูกสาวมาแล้ว 3 คน จนล่าสุดเธอตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว และสามีก็ขู่ว่าจะทิ้งเธอถ้าให้กำเนิดลูกสาวอีก ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องหมอผีจากเพื่อนบ้าน เธอจึงไปขอให้หมอผีช่วย
อนึ่ง ในประเทศยากจนแถบเอเชียใต้บางประเทศ ผู้คนมักเชื่อว่าลูกชายจะทำให้ครอบครัวมีความมั่งคั่งทางการเงินในระยะยาวมากกว่าลูกสาว ทำให้มีเหล่าหมอผีเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ แอบอ้างทำพิธีเพื่อช่วยให้ได้ลูกชาย
สำหรับเคสนี้ พบว่าทางแพทย์ช่วยนำตะปูออกจากศีรษะของหญิงตั้งครรภ์ได้สำเร็จ ขณะที่ทางหัวหน้าตำรวจเมืองเปศวาร์ได้จัดตั้งชุดสอบสวนพิเศษตามล่าตัวหมอผีดังกล่าวมารับโทษ หลังล้อเล่นกับชีวิตของคนบริสุทธิ์ด้วยคำสัญญาจอมปลอม พร้อมกันนั้นจะมีการสอบสวนเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลด้วย ที่ไม่แจ้งเรื่องต่อทางตำรวจตั้งแต่ตอนที่หญิงรายนี้เข้ามาที่โรงพยาบาล
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก บีบีซี
