สหรัฐฯ เผชิญวิกฤต "บอมบ์ ไซโคลน" อุณหภูมิอาจถึง -51 องศา เตือนลมหนาวคุกคามชีวิต ยกเลิกเที่ยวบินแล้วเกือบ 5,000 เที่ยว
ภาพจาก Nathan Howard / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 เว็บไซต์นิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า สหรัฐอเมริกาเผชิญวิกฤตสภาพอากาศจากพายุบอมบ์ ไซโคลน ส่งผลในอุณหภูมิลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ มีพายุหิมะตกหนัก และลมหนาวกระโชกรุนแรงในหลายพื้นที่ เป็นเหตุให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินไปแล้วเกือบ 5,000 เที่ยว ในช่วงก่อนวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส
ตามรายงานของรอยเตอร์ส สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติ (NWS) ระบุว่า พายุเริ่มก่อตัวเหนือเกรตเลกส์ ในอเมริกาเหนือ เป็นปรากฏการณ์สภาพอากาศที่เรียกว่า "บอมบ์ ไซโคลน" (Bomb Cyclone) ซึ่งคาดว่าพัฒนามาจากความกดอากาศต่ำลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดพายุหิมะก่อตัวหนาประมาณ 1.25 เซนติเมตรต่อชั่วโมง และลมกระโชกแรงถึง 97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทัศนวิสัยเกือบเป็นศูนย์
ทั้งนี้เมื่อพายุรวมตัวกับความหนาวเย็นในแถบอาร์กติก ส่งผลให้เกิดลมหนาว อุณหภูมิลดต่ำลงถึง -40 องศาเซลเซียส ในพื้นที่ราบสูง บริเวณเทือกเขาร็อกกี้ทางตอนเหนือ และพื้นที่เกรตเบซิน โดยพายุลูกนี้จะทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณเกรตเลกส์ นักอุตุนิยมวิทยากล่าวเตือนว่า "เป็นลมหนาวที่อาจคุกคามชีวิต"
จนถึงตอนนี้ พายุได้พัดสู่ภาคกลางด้วยความหนาวเย็น ในเมืองไชเอนน์ รัฐไวโอมิง อุณหภูมิลดลง 30 องศา ใน 10 นาที ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเผชิญกับอุณหภูมิเยือกแข็ง และต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ในฟิลาเดลเฟีย คาดว่าจะลดลงถึง -9 องศาเซลเซียส ขณะที่ ซูซิตี รัฐไอโอวา อาจถึง -26 องศาเซลเซียส ส่วนรัฐทางตอนใต้อย่างฟลอริดา ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน อุณหภูมิจะลดลงจาก 26 องศาเซลเซียส เหลือ 15 องศาเซลเซียสอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้
อุณหภูมิจะลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วภูมิภาคมิดเวสต์และเกรตเลกส์
ความหนาวเย็นจะรุนแรงขึ้นจากลมแรง กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ
เตือนว่าลมหนาวอาจะส่งผลให้อุณหภูมิต่ำลงได้ถึงเกือบ -51 องศาเซลเซียส
แนะนำให้ประชาชนอยู่ภายในสถานที่ปิด และมีแนวโน้มว่าอาจเกิดไฟฟ้าดับ
"มันอันตรายและเป็นภาวะคุกคาม นี่มันไม่เหมือนกับวันหิมะตกเมื่อคุณยังเด็ก นี่เป็นเรื่องซีเรียส" ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวที่ทำเนียบขาว พร้อมทั้ง เรียกร้องให้ชาวอเมริกันที่มีแผนการเดินทางอย่าล่าช้าและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก nypost.com, reuters.com