เปิดคดีช็อก ครอบครัว 4 ชีวิตรอดปาฏิหาริย์หลังรถตกหน้าผา 76 เมตร
กระแทกหินสภาพเละ พลิกกลายเป็นเหตุพยายามฆ่า
พ่อจงใจพาครอบครัวดิ่งผาไปพร้อมกัน

ภาพจาก ทวิตเตอร์@SMCSheriff
วันที่ 3 มกราคม 2566 เว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ส มีรายงานกรณีช็อกสังคมในสหรัฐอเมริกา
อุบัติเหตุรถตกหน้าผาที่จบลงด้วยปาฏิหาริย์ ครอบครัว 4 ชีวิตรอดตายโดยลูก ๆ
ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ อยู่ ๆ ก็พลิกเป็นอาชญากรรมชวนสะพรึง
เมื่อทางตำรวจออกมาแถลงยืนยัน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุ
แต่เป็นการกระทำโดยเจตนาของพ่อ ที่อาจจะถูกตั้งข้อหาอาญา
ย้อนกลับไปในช่วงสายวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ทางตำรวจได้รับการติดต่อขอให้ส่งกำลังไปยังบริเวณทางหลวง 1 ในพื้นที่ตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย หลังเกิดอุบัติเหตุรถลื่นไถลตกจากถนน บริเวณริมหน้าผาสูง โดยพบว่ารถเทสลา สีขาว ของครอบครัวที่มากัน 4 คน ร่วงลงไปกว่า 76.2 เมตร และติดอยู่ตรงโขดหิน
ย้อนกลับไปในช่วงสายวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ทางตำรวจได้รับการติดต่อขอให้ส่งกำลังไปยังบริเวณทางหลวง 1 ในพื้นที่ตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย หลังเกิดอุบัติเหตุรถลื่นไถลตกจากถนน บริเวณริมหน้าผาสูง โดยพบว่ารถเทสลา สีขาว ของครอบครัวที่มากัน 4 คน ร่วงลงไปกว่า 76.2 เมตร และติดอยู่ตรงโขดหิน
ท่ามกลางความพยายามของตำรวจและหน่วยกู้ภัยจำนวนมาก ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ใช้เชือกดึงตัวเด็ก 2 คน ออกมาจากรถและส่งขึ้นไปยังถนนด้านบนได้อย่างปลอดภัย ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยพบว่าเด็ก ๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พ่อกับแม่ของเด็กนั้น เจ้าหน้าที่ต้องนำเฮลิคอปเตอร์มาช่วย กว่าจะสามารถนำตัวทั้งคู่ออกจากรถและส่งไปรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลได้

ภาพจาก ทวิตเตอร์@SMCSheriff
แต่เวลาผ่านไปไม่ทันข้ามวัน ในช่วงสายวันนั้นทางตำรวจก็ได้จับกุมตัว นายพาเทล ซึ่งเป็นคนขับรถคันที่เกิดเหตุ ฐานต้องสงสัยในเหตุพยายามฆ่าและทารุณกรรมเด็ก โดยทางตำรวจได้แถลงข่าวยืนยันการจับกุมในวันต่อมา (3 มกราคม) โดยเขาจะถูกพาตัวไปยังเรือนจำทันที เมื่อสามารถออกจากโรงพยาบาลได้
โดยตำรวจทางหลวงระบุว่า เจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนเหตุการณ์ตลอดคืนวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา โดยมีการสอบปากคำพยาน วิเคราะห์ที่เกิดเหตุ ก่อนสามารถระบุได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าหลักฐานใดที่ชี้นำทางตำรวจไปสู่การจับกุมนายพาเทล แต่ทางโฆษกตำรวจทางหลวงยืนยัน การเตรียมตั้งข้อกล่าวหาต่อบุคคลดังกล่าว เป็นสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก นิวยอร์กไทม์ส