ชาวบ้านเสียงแตกคดี เฮียหมูถูกกักขัง ฝ่ายหนึ่งเชื่อลูกชาย - ลูกสะใภ้เป็นคนดี เฮียหมูเป็นอัลไซเมอร์ ทนายเดชาโพสต์ เรื่องนี้ฟังหูไว้หู ระวังจะโอละพ่อ
จากกรณี เฮียหมู ชายวัย 67 ปี ออกมาร้องทุกข์ว่าถูกลูกชายกับลูกสะใภ้วางยาสลบใส่ตนและภรรยา หมายจะทำให้เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ก่อนที่จะยื่นศาลขอจัดการมรดก โยกย้ายทรัพย์สินไปมากมายเพื่อฮุบสมบัติ ซึ่งเฮียหมูก็ได้พาตำรวจและนักข่าวไปชี้จุดสำคัญ พร้อมเผยวิธีเอาตัวรอดจากนรกบนดิน
อ่านข่าว : เฮียหมู เผยวิธีเอาตัวรอดจากนรก โดนลูกชาย-สะใภ้ จับขัง ชี้จุดตรง แต่ละภาพสิ้นหวังมาก
ล่าสุด (14 กุมภาพันธ์ 2566) ข่าวช่อง 3 รายงานว่า พล.ต.ต. นเรวิช สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่า หลังจากนำหมายศาลจังหวัดฉะเชิงเทราที่ 10/2566 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อเข้าค้นเก็บหลักฐานและความเชื่อมโยงของคดี ยังโรงผลิตน้ำแห่งหนึ่งใน ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ของนายเอ (นามสมมติ) พ่อของนางสาวบี (นามสมมติ) ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ของเฮียหมู
จากการเข้าตรวจค้นเชื่อว่าเฮียหมูมาอยู่ที่บ้านหลังนี้จริงตามคำให้การ และชี้จุดต่าง ๆ ได้ตรงกับข้อมูลที่ให้การมาก่อนหน้านี้ จึงเข้าข่ายในข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังตามพยานที่ระบุ
ตำรวจพาเฮียหมูตรวจร่างกาย - เก็บหลักฐาน - เตรียมออกหมายเรียกสอบสวนคนที่เกี่ยวข้อง
ส่วนประเด็นเรื่องการฆาตกรรม นางนิสา ภรรยาของเฮียหมูนั้น ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากต้องรอพยานหลักฐานในหลาย ๆ ส่วน ทั้งนิติวิทยาศาตร์ พยานแวดล้อม พยานบุคคล เส้นทางทางการเงิน และต้องเชิญตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาทำการสอบสวนในฐานะพยานก่อน ซึ่งหากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดหรือสามารถระบุตัวตนได้ ก็จะขยายผลเป็นถึงเหตุฆาตกรรมที่เฮียหมูสงสัยอยู่ ณ ขณะนี้
เบื้องต้นได้ให้ พฐ. เก็บหลักฐานทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีนำไปตรวจสอบแล้ว ซึ่งขึ้นตอนหลังจากนี้จะเชิญตัวลูกชาย ลูกสะใภ้ และพ่อแม่ของลูกสะใภ้ มาทำการสอบสวน หากไม่มาแสดงตนก็จะต้องออกหมายเรียก สุดท้ายหากไม่มาก็คงต้องขอศาลอนุมัติหมายจับต่อไปตามขั้นตอน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้พาเฮียหมูไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายและบาดแผลไว้เป็นหลักฐาน พร้อมออกหมายเรียกพยานกว่า 10 ปาก เข้าให้ปากคำเพื่อเติมเพื่อรวบรวมข้อมูล จะได้ออกหมายเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุตัวบุคคลภายในบ้านได้ว่ามีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับคดีนี้ได้อย่างไร และอยากให้ลูกชายของเฮียหมู ออกมาพูดหรือชี้แจงให้ตำรวจหรือสื่อมวลชนทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ส่วนหลักฐานที่เข้าตรวจเก็บในจุดเกิดเหตุที่อ้างว่าเป็นจุดที่กักขังเอาไว้ก็ต้องรอผล 1-2 วัน และยังมีหลักฐานอย่างอื่นอีกที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจ โดยทางตำรวจไม่สามารถจะบอกได้ว่าทั้งบ้านมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะบางคนก็อาจจะไม่มีส่วนรู้เห็น หรือไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ฝ่ายที่ถูกกล่าวหายังไม่มีใครออกพูดอะไรและยังไม่สามารถติดต่อใครได้เลย ทำให้ต้องรอการสอบสวนจากอีกฝ่ายก่อนถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทางตำรวจก็พยายามหาทางติดต่อครอบครัวที่ถูกกล่าวหาอยู่และตัวของลูกชายเฮียหมูด้วย
อดีตผู้ใหญ่บ้านเผย เฮียหมูกับภรรยาเป็นอัลไซเมอร์ อยากให้รอฟังความสองฝั่ง เชื่อลูกชาย-ลูกสะใภ้จิตใจดี
ทางผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พบกับ นายชูชาติ อายุ 61 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน ต.บางแก้ว อ.เมืองฉะเชิงเทรา เผยว่า เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องในครอบครัวของลูกเฮียหมู ช่วงที่ยังเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ ซึ่งต้องไปอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่เข้าไปดูตึก ดูพื้นที่ ถึงขั้นต้องมีการแจ้งความที่ สภ.แสนภูดาษ
โดยช่วงที่ลูกชายนำตัวเฮียหมูกับภรรยามาดูแล ก็มีการจ้างคนมาดูแลอย่างดี เพราะทั้งสองคนมีอาการอัลไซเมอร์ หลงลืม ซึ่งเฮียหมู เคยเดินออกจากบ้านแล้วพลัดหลงไปถึงเขื่อนน้ำบางปะกงจนเกือบตกน้ำมาแล้ว ทำให้ต้องกักบริเวณเอาไว้เพื่อไม่ให้พ่อแม่เป็นอันตราย
นายชูชาติ เชื่อว่าลูกชายกับลูกสะใภ้ ไม่น่าจะคิดทำร้ายเฮียหมูกับภรรยาแน่นอน หากทำร้ายจริงทำไมเฮียหมูถึงยังคงมีชีวิตอยู่และกลับมาแจ้งความลูกชายกับลูกสะใภ้ ซึ่งอยากให้รอทั้งคู่กลับจากต่างประเทศก่อนแล้วมาบอกความจริง อยากให้ฟังความทั้งสองฝั่ง เพราะครอบครัวนี้เป็นคนจิตใจดี ไม่น่าจะเป็นคนใจร้าย
ครูประจำชั้นลูกชายเฮียหมูเผย สมัยเรียนติดหรู - ไม่ทันคน
อาจารย์ประจำชั้นของลูกชายเฮียหมู เผยว่า สมัยเรียนอยู่มัธยมปลาย ลูกชายเฮียหมูเป็นคนซื่อ ๆ ดูไม่ค่อยทันคน เป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ และชอบใช้ของแบรนด์เนมราคาแพง เช่น แว่นตาราคาเป็นหมื่น ซึ่งเฮียหมูผู้เป็นพ่อก็มักจะบ่นให้ฟังอยู่เป็นประจำ เรื่องการใช้เงินฟุ่มเฟือย
ส่วนแฟนสาวที่มาเป็นสะใภ้ของเฮียหมู อาจารย์เล่าว่า เป็นเพื่อนเรียนรุ่นเดียวกัน แต่อยู่กันคนละห้อง ตอนเรียนทั้งคู่ยังไม่ได้คบหาเป็นแฟนกัน เพิ่งมาคบหาช่วงเรียนมหาวิทยาลัยและตกลงแต่งงานกัน ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ตนได้เจอเฮียหมูและภรรยา ก็เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ยังดูปกติแข็งแรง หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
จนกระทั่งมาทราบจากข่าวเมื่อ 2-3 วันก่อน และเฮียหมูมาหาที่บ้าน พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ตนมั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเฮียหมูเป็นคนที่รักลูกชายมาก คงไม่แต่งเรื่องมาเพื่อทำร้ายลูกชายตัวเองอย่างแน่นอน และก่อนหน้านี้ ตนเคยขอไปเยี่ยมเฮียหมูและภรรยา แต่ทางฝั่งลูกสะใภ้และลูกชายก็กีดกันไม่ให้ไปเยี่ยม อ้างว่ามีโควิด ซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัย
สุดท้ายอยากฝากไปถึงลูกชายเฮียหมูว่า ให้ออกมายอมรับความจริงในสิ่งที่ได้ทำไป เพราะอย่างไรก็ตามคนเป็นพ่อเป็นแม่พร้อมที่จะให้อภัยลูกเสมอ แต่เรื่องคดีก็ต้องยอมรับว่าเป็นไปตามกฎหมาย อยากให้คิดถึงอนาคตลูกตัวเอง 2 คนที่ยังเล็กอยู่
ทนายเดชาโพสต์ เรื่องนี้ฟังหูไว้หู ระวังจะโอละพ่อ
ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าให้ฟังหูไว้หู ระวังจะโอละพ่อ เชื่อว่าอีก 2-3 วัน ลูกชายจะออกมาแถลงข่าว โดยทนายเดชายังตั้งข้อสังเกตว่า พ่อ-ลูกมีคดีฟ้องร้องเรื่องสมบัติกันอยู่ในชั้นศาล และ เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2563 ผ่านมา 3 ปี เหตุใดเพิ่งมาแจ้ง
พิรุธประเด็นหลังจากหมายค้นออกไป ก็ไปค้นบริเวณที่อ้างว่าถูกกักขังและบอกว่าอยู่ในสภาพเดิม แต่ดูลักษณะแล้วไม่เหมือนการกักขัง อีกทั้งผู้เสียหายมีพยานแวดล้อมที่ยืนยันว่าสามารถเดินออกไปไหนมาไหนได้
ส่วนลูกสะใภ้ที่มีข่าวลือว่าเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด ส่วนลูกชายก็อยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำรวจยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะยังไม่มีพยานหลักฐานใดว่ามีการฆาตกรรมหรือกักขังหน่วงเหนี่ยว