เคสชวนช็อก หญิงวัย 50 ปี มีทารกอยู่ในท้อง 9 ปี จนกลายเป็นหิน แม่เชื่อประหลาด ไม่ยอมเอาออก จนเสียชีวิต
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 20 มีนาคม 2566 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานเคสทางการแพทย์ที่น่าตกใจ ซึ่งถูกนำมาเปิดเผยในวารสาร BMC Women's Health เป็นเคสของหญิงชาวคองโกวัย 50 ปี (ไม่เปิดเผยชื่อ) ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่ในสหรัฐอเมริกา เธอได้ไปพบแพทย์ที่นิวยอร์ก ด้วยอาการปวดหน่วงในช่องท้อง อาหารไม่ย่อยและมีเสียงโครกครากดังในท้อง หลังจากรับประทานอาหาร ภายหลังจากแพทย์ตรวจซีทีสแกนก็พบว่า เธอมีทารกในท้องที่กลายเป็นก้อนหิน
ดร. วาซีม ซูวี ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ของสถาบันการแพทย์ SUNY Upstate Medical University ซึ่งเป็นผู้รายงานเคสนี้ เผยว่า เมื่อ 9 ปีก่อน หญิงรายดังกล่าวเคยตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งน่าจะเป็นลูกคนที่เก้าของเธอ แต่ทารกหยุดการเจริญเติบโตไปเมื่อตอนสัปดาห์ที่ 28 แต่ซากทารกไม่ได้ถูกกำจัดออกมา จึงเกิดการสะสมของแคลเซียมและแข็งตัวกลายเป็นหินปูน กดทับบริเวณลำไล้ลำไส้เล็กและบีบเส้นเลือดใหญ่
ทั้งนี้ รายงานเผยว่า ระหว่างตั้งครรภ์ครั้งนั้นเธอได้ไปพบแพทย์ที่คลินิกในค่ายผู้ลี้ภัยที่แทนซาเนีย ก่อนที่จะได้รับแจ้งว่าทารกเสียชีวิตในครรภ์ ให้กลับบ้านไปแท้งเองตามธรรมชาติ แต่หากไม่มีเลือดออกมาภายใน 2 สัปดาห์ให้กลับมาใหม่ เธอก็กลับไปหาหมอตามคำแนะนำ แต่กลับเจอคนด้านนอกรุมว่าเธอทำเรื่องชั่วร้ายและฆ่าลูก
หลังจากนั้น หญิงรายนี้จึงรีบกลับบ้านไปและสวดมนต์ จากนั้นเธอก็ตั้งใจว่าจะไม่ไปหาหมออีก ทำให้มีซากทารกอยู่ในท้องเช่นนั้นมานานถึง 9 ปี จนกระทั่ง 6 เดือนก่อนที่จะย้ายมาอยู่ในสหรัฐฯ เธอต้องตรวจร่างกาย และแพทย์ก็ตรวจพบทารกหินดังกล่าว ซึ่งมีขนาดประมาณ 6x8 นิ้ว และมีโครงกระดูกด้วย
ภาวะทารกเป็นหินในครรภ์ หรือ Lithopedion นับว่าเป็นกรณีที่หาพบได้ยาก มีรายงานบันทึกทางการแพทย์เพียงไม่ถึง 300 ครั้ง แพทย์ได้แนะนำให้คนไข้ผ่าตัดเอาก้อนดังกล่าวออก อย่างไรก็ตาม หญิงรายนี้ปฏิเสธการผ่าตัด ยอมทำเพียงการตรวจติดตามผล เนื่องจากเชื่อว่า อาการป่วยของเธอเกี่ยวข้องกับคุณไสยมนต์ดำ น่าจะมีใครบางคนที่แอฟริกาทำของใส่เธอ
หลังจากบ้านมาอยู่ในสหรัฐฯ ได้ประมาณ 14 เดือน หญิงรายดังกล่าวได้เสียชีวิตลงด้วยโรคขาดสารอาหารอย่างรุนแรง โดยแพทย์วินิจฉัยว่า "ทารกหิน" ได้บีบลำไส้ของคนไข้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งหมายความว่าร่างกายของเธอไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่สำคัญได้อีกต่อไป จึงนำไปสู่ภาวะการขาดสารอาหาร และเสียชีวิตในที่สุด
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก Daily Mail
