ผู้เสียหายทำหน้าคลินิกพิมรี่พาย คาใจปมผู้บริหารคลินิก
รับมียาที่ใช้ไม่ผ่าน อย. หวั่นถูกนำมาฉีดให้ หมดเงินแก้ไปนับแสน
กลุ้มคดีผ่านนับปียังไม่คืบ
จากกรณีเมื่อช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา
มีผู้เสียหายทยอยเดินทางเข้าแจ้งความเอาผิดกับคลินิกแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง
EST CUTE CLINIC สาขาห้วยขวาง ที่เป็นของ น.ส.พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์
หรือ พิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์และยูทูบเบอร์ชื่อดัง และเอาผิดนางสาวอาลินดา
หรือ หมอแพท หมอปลอม
ที่แอบอ้างเอาเอกสารใบประกอบวิชาชีพของแพทย์หญิงรายหนึ่ง
มารับทำเสริมความงามให้ลูกค้าทั้งที่ตัวเองจบเพียง ม.6 นั้น
อ่านข่าว : รวบแล้ว หมอปลอมคลินิกพิมรี่พาย พบเรียนจบ ม.6 แอบเอาโบท็อกซ์มาหัดฉีด
อ่านข่าว : รวบแล้ว หมอปลอมคลินิกพิมรี่พาย พบเรียนจบ ม.6 แอบเอาโบท็อกซ์มาหัดฉีด
ต่อมา ตนได้มีโอกาสคุยกับหนึ่งในผู้บริหารของทางคลินิก มีการยอมรับว่าทางคลินิกอาจมีการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องกับลูกค้าบางราย แต่ทางผู้บริหารรายนี้ยังคงยืนยันกับตนว่า เคสของเป็นการใช้ตัวยาปกติ แต่สำหรับลูกค้าที่ซื้อโปร 17,500 อาจมีการใช้ไม่ผ่าน อย. จริง ซึ่งคาใจว่าทำไมตนที่ซื้อโปรราคา 6,666 บาท ทางคลินิกกลับบอกว่าได้ตัวยาปกติ แต่ลูกค้าที่ซื้อโปรที่แพงกว่าทำไมได้ตัวยาที่ไม่ถูกต้อง ดูไม่สมเหตุสมผล แม้ตนจะพยายามติดต่อสอบถามการแก้ไขกับทางคลินิกมานานก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ
หลังจากนั้น ตนได้ไปทำการฉีดสลายสารฉีดฟิลเลอร์ ตามคำแนะนำของผู้บริหารและทางคลินิก แต่ก็ไม่หาย สุดท้ายต้องไปทำการผ่าตัดออกจากโรงพยาบาลอื่น และขณะนี้ก็ยังคงไม่สามารถผ่าตัดออกได้ทั้งหมด ยังคงเหลือเศษฟิลเลอร์ค้างอยู่เป็นก้อนแข็ง ซึ่งตนนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าตัวยาที่นำมาฉีดให้กับตนและผู้เสียหาย เป็นตัวยาไม่ถูกต้อง เพราะจากการโฆษณาบอกว่าตัวสารฉีดฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติ เป็นตัวยาที่สกัดมาจากสารธรรมชาติ จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่จนถึงขณะนี้ผ่านมานานกว่า 15 เดือนแล้วก็ยังคงค้างอยู่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนต้องเสียเงินในการดำเนินการทั้งการไปทำการฉีดสลายสารฉีดฟิลเลอร์ และการผ่าตัดเอาฉีดฟิลเลอร์ที่ปากออก และค่าเดินทางต่าง ๆ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 1 แสนบาทแล้ว แต่ในส่วนของคดีและการชดใช้เยียวยา จากทางคลินิกกลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ
โดยทางคลินิกเงียบหายไปตั้งแต่ที่ สบส. ออกใบแถลงว่าจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ผู้บริหารรายนี้พูดคุยกับตนเอง รวมถึงตนเองยังรู้ว่าทางคลินิกรู้ล่วงหน้าก่อนที่เจ้าหน้าที่จาก สบส. จะเข้าตรวจสอบ จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่ทางคลินิกจะมีการเตรียมการสำหรับการตรวจสอบจากทางเจ้าหน้าที่
ปัจจุบันตนและผู้เสียหายที่สามารถติดต่อรวบรวมได้ ตัดสินใจจะเดินทางพร้อมหลักฐานเข้าแจ้งขอความช่วยเหลือต่อ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้ช่วยเร่งรัดคดี เพราะจนถึงขณะนี้ คดียังคงอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ยังไม่มีการสรุปสำนวนส่งไปยังพนักงานอัยการแต่อย่างใด