ปู ยิ่งลักษณ์ เปิดใจย้อนเหตุการณ์เบื้องหลังมีมดัง สัมภาษณ์เสียงสั่น ถอยจนไม่รู้จะถอยยังไง รับตอนนี้อยากกลับบ้าน ขอบคุณประชาชนที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ
ภาพจาก คุยแหลกแดกดึก
วันที่ 21 มิถุนายน 2566 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ คุยแหลกแดกดึก กับมดดำ คชาภา ตันเจริญ พิธีกรชื่อดัง โดยเล่าย้อนเหตุการณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับคลิปที่ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์ในปัจจุบันคือคลิปที่ อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ กล่าวแถลงในช่วงที่สถานการณ์การเมืองในอดีตที่รุนแรง โดยมีประโยคที่ถูกพูดถึงกันมากคือ "ถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว" ว่า วันนั้นตนพยายามทำทุกอย่าง อะไรที่เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง พยายามปลดล็อกให้ในสิ่งที่ทำได้ แต่ก็ยังถูกขับไล่อย่างรุนแรง และเราไม่อยากเห็นภาพคนไทยด้วยกันที่มีความขัดแย้ง ในวันนั้นที่รีบเดินหนี เพราะไม่อยากร้องไห้
สถานการณ์ขณะนั้นตนเองพยายามเข้มแข็งเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ ในการประคับประคองสถานการณ์บ้านเมือง เหมือนคนขับรถอยู่ แต่อยากจะปล่อยพวงมาลัยแล้ว แต่ปล่อยไม่ได้เพราะรถกำลังขับอยู่ ก็ต้องประคองให้รถไปให้ได้ เชื่อว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนก็คงร้องไห้เมื่อเจอแบบนี้
ภาพจาก คุยแหลกแดกดึก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุอีกว่า ตอนนั้นหวังว่าเรายุบสภาแล้ว ทุกอย่างที่เป็นความขัดแย้ง และเข้าสู่วิถีทางของประชาธิปไตยในสภา เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดจนเกิดช่องว่างทางการเมือง จนทำให้เกิดการรัฐประหารในเวลาต่อมา
มดดำ คชาภา ถามว่าในระหว่าง 9 ปี ที่ผ่านมา เคยมีโอกาสเจอ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้างหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า ตนเองโดนขนาดนี้ย่อมรับไม่ได้อยู่แล้วเรื่องของรัฐประหาร และไม่เคยมีการติดต่อกับ พล.อ. ประยุทธ์ แต่อย่างใด และไม่เคยมีการดีลลับอย่างแน่นอน
ภาพจาก คุยแหลกแดกดึก
ส่วนเรื่องที่พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 2 ในการเลือกตั้งที่ผ่านมานั้น อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความคิด และวิธีการของคนรุ่นใหม่ ในฐานะผู้ดู ก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้น และดีใจที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนพรรคอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นครรลองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวยอมรับว่า ตนอยากกลับบ้านเพราะถือเป็นบ้านเกิด แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่า จะกำหนดให้ได้กลับบ้านหรือไม่ แต่วันนี้ต้องอยู่ให้ได้ ต้องปล่อยวาง และรอจังหวะเวลาในอนาคต พร้อมทั้งขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ยังให้ความรัก และยังไม่ลืม โดยสิ่งนี้เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงใจในการใช้ชีวิตในต่างแดน และหลังจากนี้คงเป็นเวลาของคนรุ่นใหม่แล้ว
ภาพจาก คุยแหลกแดกดึก
วันที่ 21 มิถุนายน 2566 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ คุยแหลกแดกดึก กับมดดำ คชาภา ตันเจริญ พิธีกรชื่อดัง โดยเล่าย้อนเหตุการณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับคลิปที่ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์ในปัจจุบันคือคลิปที่ อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ กล่าวแถลงในช่วงที่สถานการณ์การเมืองในอดีตที่รุนแรง โดยมีประโยคที่ถูกพูดถึงกันมากคือ "ถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว" ว่า วันนั้นตนพยายามทำทุกอย่าง อะไรที่เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง พยายามปลดล็อกให้ในสิ่งที่ทำได้ แต่ก็ยังถูกขับไล่อย่างรุนแรง และเราไม่อยากเห็นภาพคนไทยด้วยกันที่มีความขัดแย้ง ในวันนั้นที่รีบเดินหนี เพราะไม่อยากร้องไห้
สถานการณ์ขณะนั้นตนเองพยายามเข้มแข็งเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ ในการประคับประคองสถานการณ์บ้านเมือง เหมือนคนขับรถอยู่ แต่อยากจะปล่อยพวงมาลัยแล้ว แต่ปล่อยไม่ได้เพราะรถกำลังขับอยู่ ก็ต้องประคองให้รถไปให้ได้ เชื่อว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนก็คงร้องไห้เมื่อเจอแบบนี้
ภาพจาก คุยแหลกแดกดึก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุอีกว่า ตอนนั้นหวังว่าเรายุบสภาแล้ว ทุกอย่างที่เป็นความขัดแย้ง และเข้าสู่วิถีทางของประชาธิปไตยในสภา เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดจนเกิดช่องว่างทางการเมือง จนทำให้เกิดการรัฐประหารในเวลาต่อมา
มดดำ คชาภา ถามว่าในระหว่าง 9 ปี ที่ผ่านมา เคยมีโอกาสเจอ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้างหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า ตนเองโดนขนาดนี้ย่อมรับไม่ได้อยู่แล้วเรื่องของรัฐประหาร และไม่เคยมีการติดต่อกับ พล.อ. ประยุทธ์ แต่อย่างใด และไม่เคยมีการดีลลับอย่างแน่นอน
ภาพจาก คุยแหลกแดกดึก
ส่วนเรื่องที่พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 2 ในการเลือกตั้งที่ผ่านมานั้น อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความคิด และวิธีการของคนรุ่นใหม่ ในฐานะผู้ดู ก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้น และดีใจที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนพรรคอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นครรลองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวยอมรับว่า ตนอยากกลับบ้านเพราะถือเป็นบ้านเกิด แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่า จะกำหนดให้ได้กลับบ้านหรือไม่ แต่วันนี้ต้องอยู่ให้ได้ ต้องปล่อยวาง และรอจังหวะเวลาในอนาคต พร้อมทั้งขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ยังให้ความรัก และยังไม่ลืม โดยสิ่งนี้เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงใจในการใช้ชีวิตในต่างแดน และหลังจากนี้คงเป็นเวลาของคนรุ่นใหม่แล้ว