สาวเจ้าของบริษัท เล่าประสบการณ์อึ้ง โดนลูกจ้างหลอกทำงาน WFH เอะใจผลงานไม่ดี สืบจนจับโป๊ะที่แท้ทำงานอยู่อีกบริษัท
เชื่อว่าหลายบริษัทนั้นปรับตัวในการทำงานโดยเฉพาะเรื่อง Work Form Home ซึ่งเปิดกว้างให้ทำงานได้จากทุกที่ อย่างไรก็ดี กับงานบางประเภทก็อาจเปิดโอกาสให้ลูกจ้างบางคนหาช่องทางในการโกงได้เช่นกัน
วันที่ 2 กรกฎาคม 2566 ผู้ใช้ TikTok @blusuvaphat หรือ ตาบู เจ้าของแบรนด์เทียร่า อัดคลิปเล่าประสบการณ์ กลโกง Work From Home โดนพนักงานหลอก พร้อมระบุว่า ตั้งใจหลอกกันมาตั้งแต่แรก แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าบริษัทไม่ได้เสียหายอะไร
เจ้าของคลิปเล่าว่า เพิ่งรู้ว่าพนักงานที่ทำงานด้วยกันมา 7-8 เดือน หลอกกันมาตลอด บริษัทของเธอมีพนักงานแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ Work From Home และส่วนที่ทำงานที่ออฟฟิศ แผนกที่ทำ Work From Home แบบ 100% คือ ทีมแอดมิน โดยมีน้องคนหนึ่งชื่อ น้องเอ (นามสมมติ) ซึ่งตอนที่มาสัมภาษณ์เป็นคนหนึ่ง แต่ตอนทำงานเป็นอีกคนหนึ่ง คือเขาให้เพื่อนมาตอบแชตให้ ในขณะที่ตัวเขาเองทำงานอีกบริษัทหนึ่ง
จุดที่เริ่มสงสัยระแคะระคาย และเริ่มมาเริ่มสืบก็คือเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานมันลดน้อยลง สำหรับทีมแอดมินจะมีอยู่ 3 คน แต่น้องเอ ได้ออร์เดอร์น้อยกว่าคนอื่นถึง 3 เท่า เธอจึงสงสัยว่าน้องไม่ได้โฟกัสกับงานมากพอหรือเปล่า ยอดมันถึงไม่เท่าเพื่อน ซึ่ง HR เข้าไปพูดคุยกับน้องในเรื่องนี้ ได้คำตอบว่า ก็ออร์เดอร์เดือนนี้มันน้อย แต่เธอมองว่า เหตุผลแบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะแอดมินคนอื่นกลับมีออร์เดอร์เยอะกว่า 3 เท่า
อีกเหตุการณ์หนึ่ง น้องคนนี้ อ้างว่าเฟซบุ๊กมีปัญหา จึงจำเป็นจะต้องใช้แอคเคานต์ใหม่ในการตอบแชตลูกค้า แต่ทางบริษัทไม่อนุญาต เพราะมองถึงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าและทรัพย์สินของเรา ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้เฟซบุ๊กมีปัญหาและเอาใครก็ได้มาตอบแชต จึงตัดสินใจจะแจ้งว่า หากไม่พร้อมทำงานก็จะยุติการทำงานร่วมกัน
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ข้อมูลจาก HR ที่ตรวจสอบมาและพบว่า น้องทำงานอยู่กับอีกบริษัทหนึ่ง ในตำแหน่ง HR เหมือนกัน เพราะอยู่ในกลุ่มเฟซบุ๊กประกาศหางาน โดยเขาใช้เฟซบุ๊กอีกแอคเคานต์หนึ่งที่ไม่ใช่แอคเคานต์ที่ปฏิบัติงานกับทางบริษัท ประกาศหาคนทำงาน แต่ว่าชื่ออีเมลมันเป็นของเขา จากนั้น HR ก็ได้สืบจนได้ข้อมูลว่า น้องทำงานอยู่กับอีกบริษัทหนึ่งจริง เท่ากับว่าเขารับงานซ้อน ซึ่งตามกฎของบริษัทไม่ให้พนักงานรับงานซ้อนอยู่แล้ว เมื่อได้ทราบข้อมูลแบบนี้ HR จึงขอวิดีโอคอล ตอนแรกเขาบ่ายเบี่ยง อ้างว่าไม่สะดวกบ้าง เปิดกล้องไม่ได้บ้าง ไลน์มีปัญหาบ้าง แต่ในท้ายที่สุดก็ยอม พอเปิดกล้องมาก็พบว่าคนที่คุยไม่ใช่น้องเอ แต่เขาก็ยังอ้างว่าไปทำหน้ามา ก่อนที่ต่อมาน้องเอตัวจริงจะโผล่มาด้วยการวิดีโอคอลซ้อน เอากล้องมาจ่อ พร้อมสารภาพทั้งหมด
หลังเกิดเรื่องแบบนี้ ตนยอมรับว่ารู้สึกเสียใจมาก เธอให้ใจกับคนไป ไม่คิดว่าจะถูกหลอก แม้จะเป็นการกระทำเล็ก ๆ แต่ส่อทุจริต มันย่อมส่งผลถึงการกระทำในอนาคต ซึ่งเคสนี้เราไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาด ทางบริษัทจึงต้องไล่ออกเท่านั้น โดยมองว่าเป็นบทเรียนของตนเองและหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับสังคม
