สาวให้แม่เก็บเงิน 12 ปี มั่นใจมีเงินเก็บเกือบ 3 ล้าน ช็อกเพิ่งเห็นว่าเงินหาย เหลืออยู่แค่หลักหมื่น มันหายไปไหน !?
วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 เว็บไซต์เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า สาวไต้หวันรายหนึ่งได้โพสต์ระบายความอัดอั้นใจบนชุมชนออนไลน์ เรื่องที่เธอไว้ใจให้แม่เป็นคนเก็บเงินเดือนไว้เกือบทั้งหมด เพราะเชื่อคำของแม่ที่บอกว่าจะช่วยบริหารจัดการเงินให้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป 12 ปี เธอควรจะมีเงินอยู่ในบัญชีถึง 2.66 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 2.93 ล้านบาท) แต่สุดท้ายกลับต้องช็อกเมื่อพบว่าเงินก้อนของเธอหายไป เหลือติดบัญชีเพียงแค่ 50,000 ดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 55,000 บาท) เท่านั้น
ก่อนหน้านี้แม่เคยโน้มน้าวให้เธอเชื่อใจแม่เรื่องเงิน บอกว่า "ถ้าลูกให้แม่จัดการเงินให้ตอนนี้ ในอนาคตจะต้องขอบคุณแม่" โดยแม่อ้างว่าถ้าเธอมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินก็ค่อยมาขอเพิ่มได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่เคยขอเงินก้อนนั้นมาใช้ได้สักครั้ง
"ฉันจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งฉันอยากดัดผม เลยขอให้เงินถอนเงินออกมาสัก 3,000 ดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 3,300 บาท) แต่ฉันกลับถูกดุเพราะใช้เงินเสียเปล่า"
แม้ว่าเธอต้องทนหิวและแทบไม่มีเงินพอสำหรับค่าอาหาร แต่เธอก็ลังเลที่จะขอเงินเพิ่มจากแม่ เพราะกลัวว่าแม่จะโกรธ จนเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 12 ปี เธอก็คาดว่าตัวเองน่าจะมีเงินออมอยู่ในบัญชีเป็นจำนวนมากถึง 2.66 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
แม้จะค้นพบความจริงสุดช็อกนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ถามแม่เรื่องเงินที่หายไป อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่ารู้สึกผิดหวังที่ถูกแม่ขโมยเงิน และผิดหวังต่อทัศนคติของแม่ที่มีต่อเงินและลูก "พวกเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องปกติที่ลูก ๆ จะหาเงินให้พ่อแม่"
นับจากวันที่รู้เรื่องเงินหาย เธอก็ตัดสินใจที่จะจัดการบริหารเงินของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังคงเอาแต่ถามถึงรายได้ของเธอ ซึ่งเธอก็ไม่กล้าที่จะบอกอะไรแม่แล้ว "เมื่อคิดถึงเรื่องที่สามีกับฉันมีทั้งเงินจำนอง เงินกู้รถ ค่าใช้จ่ายในครอบครัว และมีลูกอีก 2 คนที่ต้องเลี้ยง ความกดดันทางการเงินหนักมาก ฉันไม่กล้าปล่อยให้แม่รู้รายได้ของฉันเลย"
เรื่องของเธอคนนี้กลายมาเป็นที่สนใจบนโลกออนไลน์ โดยมีชาวเน็ตหลายคนเข้ามาแชร์ประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เช่น
"แม่ของคุณตั้งใจโกหกคุณ ในขณะที่แม่ของฉันมาไถเงินจากฉันตรง ๆ โดยบอกให้ฉันออกจากบ้านไปถ้าไม่ให้เงินแม่"
"ตอนที่ฉันยังเด็ก แม่ก็เคยสัญญาว่าจะเก็บเงินทั้งหมดที่ฉันได้รับอั่งเปามา แต่หลังจากนั้นความทรงจำของแม่เรื่องที่เคยคุยกันไว้ก็จางหายไป"
"ถ้าคุณอยากรักษาความสงบสุขไว้ ไม่จำเป็นต้องบอกรายได้จริง ๆ ของคุณหรอก บริบททางสังคมตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ทัศนคติของพ่อแม่ก็เช่นกัน พวกเขาไม่ควรใช้วิธีบงการซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์