หนุ่มโพสต์ระบาย คบแฟนสาวมา 4 ปี ถูกเรียกสินสอด 8 แสน อ้างผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต้องปรนนิบัตรรับใช้ผัว เช็ดอุจจาระให้เมื่อป่วย สุดท้ายไปต่อกันไม่ได้ เจ็บแต่จบ
แม้ว่าปัจจุบันผู้หญิงส่วนใหญ่จะได้รับการยกย่องว่ามีความเทียมในทุกด้านไม่แพ้เพศไหน ๆ แต่สำหรับบางเรื่องก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสินสอด ที่ผู้ชายต้องจ่ายให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงก่อนแต่งงานนั้น ยังคงจำเป็นอยู่ไหมในสังคมแห่งความเท่าเทียมนี้
ล่าสุดวันที่ 28 สิงหาคม 2566 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เล่าปัญหาที่เกิดจากทัศนคติที่ไม่ตรงกันระหว่างตนเองกับแฟนสาว เรื่องการจ่ายสินสอดให้กับครองครัวผู้หญิงตอนแต่งงาน จนทำให้เป็นปัญหาบานปลายถึงขั้นกำลังจะเลิกกัน โดยระบุว่า ตนคบหากับแฟนมา 4 ปี แต่ตอนนี้กำลังจะเลิกกันเพราะเรื่องแต่งงาน เนื่องมาจากฝ่ายหญิงเรียกเงินสินสอดรวมทอง เป็นมูลค่ากว่า 800,000 บาท
เหตุผลที่ฝ่ายหญิงเรียกเงินสินสอดมากขนาดนี้นั้น เป็นเพราะอ้างว่าฝ่ายหญิงต้องปรนนิบัติรับใช้ผัว ดูแลป้อนข้าว เช็ดอุจจาระให้เมื่อผัวป่วย ทั้งที่ตนไม่เคยแสดงออกเลยสักครั้งว่าเรื่องงานบ้านต้องให้ผู้หญิงทำฝ่ายเดียว และถ้าฝ่ายหญิงป่วยขึ้นมา ตนก็ต้องดูแลฝ่ายหญิงเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ฝ่ายผู้ชายที่จะป่วยเป็นอยู่ฝ่ายเดียว
จากนั้น ฝ่ายหญิงก็พูดเรื่องการอุ้มท้องบ้าง เรื่องเมนส์บ้าง หรือหากผู้ชายไปมีชู้บ้าง ตนก็คิดว่าถ้าการแต่งงาน มันเสียเปรียบและลำบากขนาดนั้น จะมาคบกันทำไมตั้งแต่แรก เคยรักกันจริงบ้างไหม หรือวัน ๆ เอาแต่บวกลบคูณหารผลได้ผลเสียจากการมีครอบครัว ถ้าได้ 800,000 บาท แล้วคุณจะยอมลำบากได้ ก็เหมือนกับการซื้อขายบริการในระยะยาวสิ
สุดท้ายตนก็บอกว่า ถ้าตนยอมจ่ายสินสอด 800,000 ผู้หญิงต้องมาเป็นช้างเท้าหลัง ต้องออกจากงานมาเป็นแม่บ้าน ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้านไม่ขาดตกบกพร่อง ห้ามบ่น ห้ามมีปากมีเสียง ห้ามตัดสินใจ ห้ามก้าวก่าย ห้ามบงการชักจูง แต่ฝ่ายหญิงกลับบอกว่าอย่ามาหัวโบราณ ซึ่งตลอดเวลาที่คบกันมา 4 ปี ตนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้หญิงจะเป็นแบบนี้ เราตกลงกันไม่ได้ และเสียดายเวลาที่คบหากันมาก ๆ
ขณะที่บางส่วนมองว่า บางทีที่ฝ่ายหญิงเรียกเงินนั้น อาจเป็นการวัดใจว่าฝ่ายชายพร้อมจะเสียสละบางอย่างเพื่อดูแลฝ่ายหญิงหรือไม่ และส่วนใหญ่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็จะคืนเงินส่วนนี้มาให้หลังเสร็จงาน