มหากาพย์สงครามน้ำลาย อมรัตน์ VS ปีใหม่ ดันแฮชแท็ก #อมรัตน์คุกคามประชาชน ขึ้นหน้าโซเชียล เมื่อล้ำเส้นเกินไป ดราม่าจึงบังเกิด
กำลังเป็นประเด็นเดือดในโลกออนไลน์ สำหรับแฮชแท็ก #อมรัตน์คุกคามประชาชน หลังจากที่ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ปะทะฝีปากผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเผ็ดร้อนกับ "ปีใหม่" ที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนคลับของพรรคเพื่อไทย โดย นางอมรัตน์ มีการนำข้อมูลส่วนของคู่กรณีมาเปิดเผยลง X (ทวิตเตอร์) และมีการเดินทางไปถึงที่ทำงานของปีใหม่ จนมีกระแสไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนางอมรัตน์ เนื่องจากดูเป็นการใช้อิทธิพลคุกคามคนธรรมดา
จุดเริ่มต้นมหากาพย์สงครามน้ำลาย อมรัตน์ VS ปีใหม่
ย้อนกลับไป ปีใหม่ มักจะมีการโพสต์โจมตีพรรคก้าวไกลและนักการเมืองในพรรคด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยเฉพาะ นางอมรัตน์ ที่ตกเป็นเป้า ถูกว่าร้ายเสีย ๆ หาย ๆ อาทิ "อีเจี๊ยบพัลวัน อีตั๊นพันเจ็ด", "อะมะรัด หรือ อมนุษย์", "อมรรัตน์ แปลว่า เพชร อม-รัตน์ จึงแปลว่า อม-เพชร เพชรเถอะแม่ยักษ์" และ "อีเจี๊ยกนครสถุนทำอะไรอยู่ ปล่อยให้บ้านตัวเองมีแก๊งมาเฟียฉาว ไหนว่ามากำจัด ?"
หลังจากที่อดทนมาอยู่นาน นางอมรัตน์ ก็ตัดสินใจโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของ ปีใหม่ โดยมีทั้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ ที่ทำงาน ไปจนถึงเบอร์โทรศัพท์ ได้ความว่าเป็นพนักงานอยู่ที่บริษัททอผ้าส่งออกแห่งหนึ่ง จึงมีการเดินทางไปถึงที่ทำงานของปีใหม่ เพื่อทำเรื่องขอเข้าพบตัวด้วย แต่บังเอิญในวันดังกล่าวปีใหม่ออกไปพบลูกค้าพอดี
จากนั้น นางอมรัตน์ ได้มีการพูดคุยกับทางกรรมการบริหารของบริษัทและผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยบริษัทรับปากว่าหลังออกหนังสือเตือนให้ปีใหม่เซ็นรับทราบแล้ว จะช่วยดูแลสอดส่องพฤติกรรมด้วย
โซเชียลเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งมอง ปีใหม่ ล้ำเส้นเกินไป อีกฝ่ายมอง อมรัตน์ คุกคาม
เรื่องราวเริ่มร้อนระอุมากขึ้นไปอีก เมื่อชาวเน็ตแตกออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นเพราะ ปีใหม่ ล้ำเส้นเกินไป จึงต้องโดนเตือนแรง ๆ แบบนี้ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าสิ่งที่ นางอมรัตน์ ทำลงไปนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากนางอมรัตน์เป็นนักการเมืองย่อมมีอิทธิพลและแสงมากกว่าปีใหม่ที่เป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าปีใหม่ทำเกินไป ก็ใช้กระบวนการทางกฎหมายมาสู้ดีกว่านำข้อมูลส่วนตัวมาเผยแพร่ลงโซเชียล หรือตามไปเจอถึงที่ทำงานแบบนี้ เพราะดูคุกคามมากเกินไป
นอกจากนี้ยังมีคนติดใจในคำพูดของ นางอมรัตน์ ที่โพสต์ถึงอาชีพของปีใหม่ว่า "คือพนักงานบริษัททอผ้าส่งออก" จุดนี้มองว่าเป็นการเหยีดอาชีพหรือไม่ ซึ่งก็มีคนเข้ามาแก้ต่างว่า นางอมรัตน์ยังไม่ได้เหยียดอาชีพใครเลย แค่บอกว่าทำงานอะไรเฉย ๆ ไม่ใช่หรือ ? ไม่ควรบิดเบือนคำพูดแบบนี้ รีบด่าเกินไปไหม ?
อมรัตน์ ชี้แจง ไม่ได้คุกคาม ปีใหม่ ตามที่มีกระแสปั่น ตัดสินได้สิ่งไหนคือภัยสังคม
หลังดราม่าเริ่มลามไปไกล นางอมรัตน์ จึงออกมาโพสต์ชี้แจงผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า "เช้านี้ถึงแม้จะตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น แต่ดิฉันมีความรู้สึกผิดติดค้างคิดว่าสมควรต้องออกมาขออภัยอย่างจริงใจต่อ Toxic (เป็นพิษ) ในสังคมออนไลน์ที่ตัวเองมีส่วนสร้างขึ้นเมื่อวานนี้
ดิฉันยืนยันว่าได้ใช้วิจารณญาณและสัญชาตญาณในฐานะมนุษย์ ใช้พื้นฐานประสบการณ์และข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินว่าสิ่งไหนคือ "ภัยสังคม" ภัยสังคมย่อมหมายถึงตัวเองไม่ได้เป็นผู้รับผลกระทบแต่เพียงลำพัง แต่เป็นภัยที่ชาวโลกออนไลน์ประสบร่วมกัน การกระทำตามวิจารณญาณส่วนตัวนั้นจะผิดถูกดีเลวอย่างไร ดิฉันยินดีรับผิดชอบทั้งทางสังคมและทางกฎหมายทุกประการ ดิฉันก็จะพิทักษ์สิทธิ์ตัวเองตามกฎหมายต่อไปเช่นเดียวกัน จากนี้ต้อง Move on (เดินหน้า) เพื่อไม่เพิ่ม Toxic ให้สังคมออนไลน์อีกต่อไป ที่เกิดไปแล้วต้องขออภัยซ้ำอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ในทางส่วนตัวดิฉันรู้สึกเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า ทุกการตัดสินใจมีต้นทุนมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่แล้วอันนี้ทราบดีอยู่ อนึ่ง ขอยืนยันว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม นั้นเป็นไปอย่างสุภาพมีเหตุผล ไม่มีสิ่งใดเลยที่ใกล้เคียงกับคำว่าข่มขู่คุกคามตามที่พยายามมี "กระแสปั่น" ดิฉันเป็นไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล ไม่มีศักยภาพข่มขู่บังคับใครแน่นอนหากบุคคลที่ 3 ที่เกี่ยวข้องมิได้เห็นพ้องด้วย"
พร้อมแนบหลักฐานว่าไม่มีการข่มขู่ใด ๆ มีเพียงการส่งข้อมูลให้บุคคลที่ 3 พิจารณา
จากนั้น นางอมรัตน์ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมในช่วงที่เดินทางไปยังบริษัทของคู่กรณี โดยเล่าเรียงเป็นลำดับเหตุการณ์ดังนี้
- ส่งข้อมูลให้ทางบริษัทเช็กว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือเปล่าในช่วงเช้า
- ช่วงบ่ายเดินทางไปคนเดียว
- ใช้บัตรประชาชนแลกบัตรเข้าถูกต้อง
- ได้รับอนุญาตและได้รับการต้อนรับที่ดี
- ได้รับฟังผลการสอบสวนพนักงานบริษัทแล้วรู้สึกพอใจ
- ลากลับอย่างสุภาพ
กำลังเป็นประเด็นเดือดในโลกออนไลน์ สำหรับแฮชแท็ก #อมรัตน์คุกคามประชาชน หลังจากที่ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ปะทะฝีปากผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเผ็ดร้อนกับ "ปีใหม่" ที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนคลับของพรรคเพื่อไทย โดย นางอมรัตน์ มีการนำข้อมูลส่วนของคู่กรณีมาเปิดเผยลง X (ทวิตเตอร์) และมีการเดินทางไปถึงที่ทำงานของปีใหม่ จนมีกระแสไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนางอมรัตน์ เนื่องจากดูเป็นการใช้อิทธิพลคุกคามคนธรรมดา
จุดเริ่มต้นมหากาพย์สงครามน้ำลาย อมรัตน์ VS ปีใหม่
ย้อนกลับไป ปีใหม่ มักจะมีการโพสต์โจมตีพรรคก้าวไกลและนักการเมืองในพรรคด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยเฉพาะ นางอมรัตน์ ที่ตกเป็นเป้า ถูกว่าร้ายเสีย ๆ หาย ๆ อาทิ "อีเจี๊ยบพัลวัน อีตั๊นพันเจ็ด", "อะมะรัด หรือ อมนุษย์", "อมรรัตน์ แปลว่า เพชร อม-รัตน์ จึงแปลว่า อม-เพชร เพชรเถอะแม่ยักษ์" และ "อีเจี๊ยกนครสถุนทำอะไรอยู่ ปล่อยให้บ้านตัวเองมีแก๊งมาเฟียฉาว ไหนว่ามากำจัด ?"
หลังจากที่อดทนมาอยู่นาน นางอมรัตน์ ก็ตัดสินใจโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของ ปีใหม่ โดยมีทั้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ ที่ทำงาน ไปจนถึงเบอร์โทรศัพท์ ได้ความว่าเป็นพนักงานอยู่ที่บริษัททอผ้าส่งออกแห่งหนึ่ง จึงมีการเดินทางไปถึงที่ทำงานของปีใหม่ เพื่อทำเรื่องขอเข้าพบตัวด้วย แต่บังเอิญในวันดังกล่าวปีใหม่ออกไปพบลูกค้าพอดี
จากนั้น นางอมรัตน์ ได้มีการพูดคุยกับทางกรรมการบริหารของบริษัทและผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยบริษัทรับปากว่าหลังออกหนังสือเตือนให้ปีใหม่เซ็นรับทราบแล้ว จะช่วยดูแลสอดส่องพฤติกรรมด้วย
โซเชียลเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งมอง ปีใหม่ ล้ำเส้นเกินไป อีกฝ่ายมอง อมรัตน์ คุกคาม
เรื่องราวเริ่มร้อนระอุมากขึ้นไปอีก เมื่อชาวเน็ตแตกออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นเพราะ ปีใหม่ ล้ำเส้นเกินไป จึงต้องโดนเตือนแรง ๆ แบบนี้ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าสิ่งที่ นางอมรัตน์ ทำลงไปนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากนางอมรัตน์เป็นนักการเมืองย่อมมีอิทธิพลและแสงมากกว่าปีใหม่ที่เป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าปีใหม่ทำเกินไป ก็ใช้กระบวนการทางกฎหมายมาสู้ดีกว่านำข้อมูลส่วนตัวมาเผยแพร่ลงโซเชียล หรือตามไปเจอถึงที่ทำงานแบบนี้ เพราะดูคุกคามมากเกินไป
นอกจากนี้ยังมีคนติดใจในคำพูดของ นางอมรัตน์ ที่โพสต์ถึงอาชีพของปีใหม่ว่า "คือพนักงานบริษัททอผ้าส่งออก" จุดนี้มองว่าเป็นการเหยีดอาชีพหรือไม่ ซึ่งก็มีคนเข้ามาแก้ต่างว่า นางอมรัตน์ยังไม่ได้เหยียดอาชีพใครเลย แค่บอกว่าทำงานอะไรเฉย ๆ ไม่ใช่หรือ ? ไม่ควรบิดเบือนคำพูดแบบนี้ รีบด่าเกินไปไหม ?
หลังดราม่าเริ่มลามไปไกล นางอมรัตน์ จึงออกมาโพสต์ชี้แจงผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า "เช้านี้ถึงแม้จะตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น แต่ดิฉันมีความรู้สึกผิดติดค้างคิดว่าสมควรต้องออกมาขออภัยอย่างจริงใจต่อ Toxic (เป็นพิษ) ในสังคมออนไลน์ที่ตัวเองมีส่วนสร้างขึ้นเมื่อวานนี้
ดิฉันยืนยันว่าได้ใช้วิจารณญาณและสัญชาตญาณในฐานะมนุษย์ ใช้พื้นฐานประสบการณ์และข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินว่าสิ่งไหนคือ "ภัยสังคม" ภัยสังคมย่อมหมายถึงตัวเองไม่ได้เป็นผู้รับผลกระทบแต่เพียงลำพัง แต่เป็นภัยที่ชาวโลกออนไลน์ประสบร่วมกัน การกระทำตามวิจารณญาณส่วนตัวนั้นจะผิดถูกดีเลวอย่างไร ดิฉันยินดีรับผิดชอบทั้งทางสังคมและทางกฎหมายทุกประการ ดิฉันก็จะพิทักษ์สิทธิ์ตัวเองตามกฎหมายต่อไปเช่นเดียวกัน จากนี้ต้อง Move on (เดินหน้า) เพื่อไม่เพิ่ม Toxic ให้สังคมออนไลน์อีกต่อไป ที่เกิดไปแล้วต้องขออภัยซ้ำอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ในทางส่วนตัวดิฉันรู้สึกเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า ทุกการตัดสินใจมีต้นทุนมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่แล้วอันนี้ทราบดีอยู่ อนึ่ง ขอยืนยันว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม นั้นเป็นไปอย่างสุภาพมีเหตุผล ไม่มีสิ่งใดเลยที่ใกล้เคียงกับคำว่าข่มขู่คุกคามตามที่พยายามมี "กระแสปั่น" ดิฉันเป็นไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล ไม่มีศักยภาพข่มขู่บังคับใครแน่นอนหากบุคคลที่ 3 ที่เกี่ยวข้องมิได้เห็นพ้องด้วย"

พร้อมแนบหลักฐานว่าไม่มีการข่มขู่ใด ๆ มีเพียงการส่งข้อมูลให้บุคคลที่ 3 พิจารณา

จากนั้น นางอมรัตน์ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมในช่วงที่เดินทางไปยังบริษัทของคู่กรณี โดยเล่าเรียงเป็นลำดับเหตุการณ์ดังนี้
- ส่งข้อมูลให้ทางบริษัทเช็กว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือเปล่าในช่วงเช้า
- ช่วงบ่ายเดินทางไปคนเดียว
- ใช้บัตรประชาชนแลกบัตรเข้าถูกต้อง
- ได้รับอนุญาตและได้รับการต้อนรับที่ดี
- ได้รับฟังผลการสอบสวนพนักงานบริษัทแล้วรู้สึกพอใจ
- ลากลับอย่างสุภาพ

