นาทีรวบตัว สารวัตร สภ.โคกสำโรง เรียกรับสินบนผู้ต้องหา อ้างค่าช่วยคดี ด้านลูกสาวเหยื่อร่ำไห้ แฉพิรุธเหมือนทำเป็นขบวนการ ซ้ำอ้างถึงระดับ รอง ผบ.ตร.
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
วันที่ 21 กันยายน 2566 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ เรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3 รายงานว่า วานนี้ (20 กันยายน) ตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ บุกจับกุม พ.ต.ท. ณัฐพล อายุ 56 ปี เป็นสารวัตรสอบสวน สภ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี หลังมีพฤติการณ์เรียกรับสินบนจากผู้ต้องหา อาชีพผู้รับเหมาทุกตึก ถูกยื่นฟ้องในคดีร่วมลักทรัพย์ โดยหลังถูกจับกุมทางสารวัตรเรียกรับเงินสินบนค่าทำคดีเป็นเงิน 1 แสนบาท ก่อนจะจ่ายก้อนแรก 5 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ลานจอดรถของศาลากลางจังหวัด
ต่อมา ผู้ต้องหาร้องเรียนเรื่องนี้ไปยัง นายกัน จอมพลัง จึงมีการประสานไปยังตำรวจให้วางแผนจับกุม โดยให้ผู้ต้องหาเอาเงินที่เหลืออีกก้อน จำนวน 5 หมื่นบาท ไปให้กับสารวัตรคนดังกล่าว ซึ่งตอนแรกสารวัตรมีการนัดหมาย ให้ผู้ต้องหานำเงินไปส่งมอบที่สำนักงานอัยการ ในเวลา 07.00 น. แต่ภายหลังขอเปลี่ยนสถานที่กะทันหัน นัดหมายให้ไปที่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.โคกสำโรง ซึ่งร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในซอยตัน และมีการเปลี่ยนเวลาในการส่งมอบเงินเป็น 09.00 น. แต่ก็เดินทางมาถึงจุดนัดหมายช้ากว่าเวลานัด 2 ชั่วโมง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวสารวัตรนั้นมีความระมัดระวังตัวเองพอสมควร
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
หลังจากที่รับเงินจากผู้เสียหายแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นรถกระบะส่วนตัว ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหาร เพื่อเดินทางกลับ ทางเจ้าหน้าที่จึงซ้อนแผนเข้าจับกุม พบเงินของกลางจำนวน 5 หมื่นบาท อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านขวาหลัง ซึ่งการตรวจสอบเลขธนบัตร ตรงตามที่ทำบันทึกของกลางไว้ พร้อมทั้งได้ตรวจค้นรถซึ่งก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
ภายหลังจากจับกุม พ.ต.อ. สมบัติ มาลัย ผู้กำกับการ กองป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทำการสอบปากคำ พ.ต.ท. ณัฐพล โดยทักทายว่า "คุณณัฐพล คุณไปทำอะไรมา" ซึ่งทาง พ.ต.ท. ณัฐพล ก้มหน้าไม่ได้ตอบคำถาม นอกจากนี้ผู้กำกับยังถามอีกว่า รู้ใช่หรือไม่ว่าตอนนี้ตัวเองถูกจับกุมกลายเป็นผู้ต้องหาแล้ว สารวัตร ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า "ครับ" จากนั้นทางผู้กำกับจึงแจ้งด้วยว่า เคยได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายอีกรายว่าสารวัตรมีการเรียกรับเงินจำนวน 1 หมื่นบาท ส่วนคดีนี้สารวัตรปฏิเสธว่าไม่ได้มีการรับเงินก้อนแรก 5 หมื่น แต่จำนนด้วยหลักฐานว่าเงินก้อนที่ 2 อยู่ในกระเป๋ากางเกงตัวเองจริง
จากกรณีดังกล่าว พ.ต.ท. ณัฐพล ถูกแจ้งข้อหา ตามมาตรา 150 "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียกรับหรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้น" ก่อนที่เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สภ.โคกสำโรง
ด้าน กัน จอมพลัง กล่าวว่า คดีนี้สารวัตรเรียกเงินจากผู้ต้องหา บอกว่าจะสามารถช่วยเหลือคดีนี้ได้ และยังอ้างว่าเงินจำนวนนี้จะนำส่งต่อให้กับอัยการและตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร. ซึ่งตอนมองว่าที่จริงแล้วเป็นเพียงการหลอกเงินผู้ต้องหา งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการเอาอาชีพของตัวเองมาหากิน ภาพตำรวจจับตำรวจก็ไม่สมควรจะเกิดขึ้น การกระทำดังกล่าวทำให้วงการตำรวจเสื่อมเสีย
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ขณะที่ น.ส.โรส (นามสมมติ) อายุ 34 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2565 พ่อของตนวัย 59 ปี เป็นผู้รับเหมาทุบตึก ได้รับการว่าจ้างจาก นายบอย ให้ไปทุบอาคารโรงงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะไม่เหลือโครงสร้างหรือรูปร่างของอาคารแล้ว เนื่องจากถูกทุบไปก่อนหน้านี้ เหลือเพียงเศษซากเท่านั้น จึงทำได้เพียง เข้าไปรื้อเศษซากและโครงเหล็กออก แต่มาทราบภายหลังว่าที่ดินผืนดังกล่าวถูกธนาคารยึดอยู่ การเข้าไปรื้อถอนหรือกระทำการใด ๆ นั้นถือว่าผิดกฎหมาย
หลังเกิดเรื่องตนพยายามติดต่อไปหา นายบอย แต่อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยง อ้างให้ไปคุยผ่านตำรวจเท่านั้น และไม่สามารถติดต่อได้อีก จากนั้นก็มีหมายเรียกส่งมาที่บ้าน ซึ่งสักพักก็มีตำรวจเจ้าของคดีติดต่อมาหา บอกว่าอาคารดังกล่าวมีมูลค่า 305 ล้านบาท และอ้างว่าคดีดังกล่าวนั้นสามารถเคลียร์ได้ โดยที่ไม่ต้องนำเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ มายื่น เพียงแต่ต้องใช้เงินจำนวน 3 แสนบาท ซึ่งตนเองไม่มีเงิน จึงได้มีการต่อรองเหลือ 1 แสนบาท แต่ยังไม่มีเงินให้ จนกระทั่งช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2565 พ่อถูกออกหมายจับในข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ"
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
จากนั้นทางตำรวจก็ติดต่อมาหาโดยเร่งให้นำเงินมาให้ ก่อนวันที่ 26 กันยายน 2566 อ้างว่าหากไม่นำเงินมาตามกำหนดพ่อของตนจะต้องติดคุก โดยได้นัดหมายให้นำเงินก้อนแรกจำนวน 5 หมื่นบาท ที่ศาลากลางจังหวัดลพบุรี ซึ่งตอนแรกอ้างว่าจะพาไปพบอัยการ โดยให้ไปนั่งรอที่หน้าห้องอัยการ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พบ และไปจ่ายเงินที่บริเวณลานจอดรถของศาลากลางจังหวัด
แต่สิ่งที่ตนตั้งข้อสังเกตคือนอกจากพ่อของตนแล้ว ยังมีผู้รับเหมาอีกหลายคนที่เข้าไปรับงานทุบอาคารดังกล่าว รวมไปถึงตัวนายบอย ผู้ว่าจ้าง ก็ไม่ได้โดนดำเนินคดีใด ๆ จึงตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการวางงานหรือไม่ ซึ่งหากทราบตั้งแต่แรกว่าเป็นที่ดินผิดกฎหมาย ก็คงไม่เข้าไป
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ผู้เสียหายเล่าทั้งน้ำตาว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่เกิดเรื่องขึ้น ครอบครัวได้รับผลกระทบหนัก เครียดจนถึงขั้นร้องไห้ นอกจากนี้ยังหวาดกลัว เนื่องจากตำรวจคนนี้มีการกล่าวอ้างว่ามีตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร. หนุนหลังอยู่ จึงรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าทำอะไร จึงร้องเรียนมายัง กัน จอมพลัง ยอมรับว่า ไม่ได้อยากทำกับสารวัตรแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากให้พ่อต้องติดคุกเหมือนกัน ที่ผ่านมาเขาไม่ยอมรับเอกสารอะไรจากตนเลย เอาแต่บังคับให้การตามสำนวนที่นายตำรวจคนดังกล่าวเขียนเพียงเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
วันที่ 21 กันยายน 2566 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ เรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3 รายงานว่า วานนี้ (20 กันยายน) ตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ บุกจับกุม พ.ต.ท. ณัฐพล อายุ 56 ปี เป็นสารวัตรสอบสวน สภ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี หลังมีพฤติการณ์เรียกรับสินบนจากผู้ต้องหา อาชีพผู้รับเหมาทุกตึก ถูกยื่นฟ้องในคดีร่วมลักทรัพย์ โดยหลังถูกจับกุมทางสารวัตรเรียกรับเงินสินบนค่าทำคดีเป็นเงิน 1 แสนบาท ก่อนจะจ่ายก้อนแรก 5 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ลานจอดรถของศาลากลางจังหวัด
ต่อมา ผู้ต้องหาร้องเรียนเรื่องนี้ไปยัง นายกัน จอมพลัง จึงมีการประสานไปยังตำรวจให้วางแผนจับกุม โดยให้ผู้ต้องหาเอาเงินที่เหลืออีกก้อน จำนวน 5 หมื่นบาท ไปให้กับสารวัตรคนดังกล่าว ซึ่งตอนแรกสารวัตรมีการนัดหมาย ให้ผู้ต้องหานำเงินไปส่งมอบที่สำนักงานอัยการ ในเวลา 07.00 น. แต่ภายหลังขอเปลี่ยนสถานที่กะทันหัน นัดหมายให้ไปที่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.โคกสำโรง ซึ่งร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในซอยตัน และมีการเปลี่ยนเวลาในการส่งมอบเงินเป็น 09.00 น. แต่ก็เดินทางมาถึงจุดนัดหมายช้ากว่าเวลานัด 2 ชั่วโมง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวสารวัตรนั้นมีความระมัดระวังตัวเองพอสมควร
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
หลังจากที่รับเงินจากผู้เสียหายแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นรถกระบะส่วนตัว ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหาร เพื่อเดินทางกลับ ทางเจ้าหน้าที่จึงซ้อนแผนเข้าจับกุม พบเงินของกลางจำนวน 5 หมื่นบาท อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านขวาหลัง ซึ่งการตรวจสอบเลขธนบัตร ตรงตามที่ทำบันทึกของกลางไว้ พร้อมทั้งได้ตรวจค้นรถซึ่งก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
ภายหลังจากจับกุม พ.ต.อ. สมบัติ มาลัย ผู้กำกับการ กองป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทำการสอบปากคำ พ.ต.ท. ณัฐพล โดยทักทายว่า "คุณณัฐพล คุณไปทำอะไรมา" ซึ่งทาง พ.ต.ท. ณัฐพล ก้มหน้าไม่ได้ตอบคำถาม นอกจากนี้ผู้กำกับยังถามอีกว่า รู้ใช่หรือไม่ว่าตอนนี้ตัวเองถูกจับกุมกลายเป็นผู้ต้องหาแล้ว สารวัตร ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า "ครับ" จากนั้นทางผู้กำกับจึงแจ้งด้วยว่า เคยได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายอีกรายว่าสารวัตรมีการเรียกรับเงินจำนวน 1 หมื่นบาท ส่วนคดีนี้สารวัตรปฏิเสธว่าไม่ได้มีการรับเงินก้อนแรก 5 หมื่น แต่จำนนด้วยหลักฐานว่าเงินก้อนที่ 2 อยู่ในกระเป๋ากางเกงตัวเองจริง
จากกรณีดังกล่าว พ.ต.ท. ณัฐพล ถูกแจ้งข้อหา ตามมาตรา 150 "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียกรับหรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้น" ก่อนที่เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สภ.โคกสำโรง
ด้าน กัน จอมพลัง กล่าวว่า คดีนี้สารวัตรเรียกเงินจากผู้ต้องหา บอกว่าจะสามารถช่วยเหลือคดีนี้ได้ และยังอ้างว่าเงินจำนวนนี้จะนำส่งต่อให้กับอัยการและตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร. ซึ่งตอนมองว่าที่จริงแล้วเป็นเพียงการหลอกเงินผู้ต้องหา งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการเอาอาชีพของตัวเองมาหากิน ภาพตำรวจจับตำรวจก็ไม่สมควรจะเกิดขึ้น การกระทำดังกล่าวทำให้วงการตำรวจเสื่อมเสีย
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ขณะที่ น.ส.โรส (นามสมมติ) อายุ 34 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2565 พ่อของตนวัย 59 ปี เป็นผู้รับเหมาทุบตึก ได้รับการว่าจ้างจาก นายบอย ให้ไปทุบอาคารโรงงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะไม่เหลือโครงสร้างหรือรูปร่างของอาคารแล้ว เนื่องจากถูกทุบไปก่อนหน้านี้ เหลือเพียงเศษซากเท่านั้น จึงทำได้เพียง เข้าไปรื้อเศษซากและโครงเหล็กออก แต่มาทราบภายหลังว่าที่ดินผืนดังกล่าวถูกธนาคารยึดอยู่ การเข้าไปรื้อถอนหรือกระทำการใด ๆ นั้นถือว่าผิดกฎหมาย
หลังเกิดเรื่องตนพยายามติดต่อไปหา นายบอย แต่อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยง อ้างให้ไปคุยผ่านตำรวจเท่านั้น และไม่สามารถติดต่อได้อีก จากนั้นก็มีหมายเรียกส่งมาที่บ้าน ซึ่งสักพักก็มีตำรวจเจ้าของคดีติดต่อมาหา บอกว่าอาคารดังกล่าวมีมูลค่า 305 ล้านบาท และอ้างว่าคดีดังกล่าวนั้นสามารถเคลียร์ได้ โดยที่ไม่ต้องนำเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ มายื่น เพียงแต่ต้องใช้เงินจำนวน 3 แสนบาท ซึ่งตนเองไม่มีเงิน จึงได้มีการต่อรองเหลือ 1 แสนบาท แต่ยังไม่มีเงินให้ จนกระทั่งช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2565 พ่อถูกออกหมายจับในข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ"
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
จากนั้นทางตำรวจก็ติดต่อมาหาโดยเร่งให้นำเงินมาให้ ก่อนวันที่ 26 กันยายน 2566 อ้างว่าหากไม่นำเงินมาตามกำหนดพ่อของตนจะต้องติดคุก โดยได้นัดหมายให้นำเงินก้อนแรกจำนวน 5 หมื่นบาท ที่ศาลากลางจังหวัดลพบุรี ซึ่งตอนแรกอ้างว่าจะพาไปพบอัยการ โดยให้ไปนั่งรอที่หน้าห้องอัยการ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พบ และไปจ่ายเงินที่บริเวณลานจอดรถของศาลากลางจังหวัด
แต่สิ่งที่ตนตั้งข้อสังเกตคือนอกจากพ่อของตนแล้ว ยังมีผู้รับเหมาอีกหลายคนที่เข้าไปรับงานทุบอาคารดังกล่าว รวมไปถึงตัวนายบอย ผู้ว่าจ้าง ก็ไม่ได้โดนดำเนินคดีใด ๆ จึงตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการวางงานหรือไม่ ซึ่งหากทราบตั้งแต่แรกว่าเป็นที่ดินผิดกฎหมาย ก็คงไม่เข้าไป
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ผู้เสียหายเล่าทั้งน้ำตาว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่เกิดเรื่องขึ้น ครอบครัวได้รับผลกระทบหนัก เครียดจนถึงขั้นร้องไห้ นอกจากนี้ยังหวาดกลัว เนื่องจากตำรวจคนนี้มีการกล่าวอ้างว่ามีตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร. หนุนหลังอยู่ จึงรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าทำอะไร จึงร้องเรียนมายัง กัน จอมพลัง ยอมรับว่า ไม่ได้อยากทำกับสารวัตรแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากให้พ่อต้องติดคุกเหมือนกัน ที่ผ่านมาเขาไม่ยอมรับเอกสารอะไรจากตนเลย เอาแต่บังคับให้การตามสำนวนที่นายตำรวจคนดังกล่าวเขียนเพียงเท่านั้น