นับถือหัวใจ 2 หญิงไทยใจแกร่ง เสี่ยงตายขับรถผ่านแนวทหาร บุกช่วยคนงานไทยในแคมป์ พาออกจากพื้นที่เสี่ยง ลั่นตายเป็นตาย พบยังช่วยคนไทยต่อเนื่อง แม้กลับถึงไทยแล้ว
ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล ที่ทางการไทยกำลังเร่งอพยพคนไทยกลับประเทศ ยังคงมีแรงงานไทยจำนวนมากที่ยังเผชิญกับความเสี่ยง อยู่ในพื้นที่อันตรายโดยที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งล่าสุดโซเชียลมีเดียก็ได้เกิดกระแสชื่นชมหญิงไทย 2 ราย ผู้อาศัยอยู่ในประเทศอิสราเอล ที่ยอมเสี่ยงอันตรายขับรถเข้าไปช่วยเหลือแรงงานไทย
โดยหญิงไทยใจแกร่งทั้ง 2 คน คือ พี่แจ๋ม และพี่น้อง ซึ่งพี่น้องเป็นผู้ขับรถ มีพี่แจ๋มคอยบันทึกภาพขณะทั้งคู่เสี่ยงตายฝ่าแนวทหารเข้าไปยังแคมป์คนงาน ช่วยพาคนไทยออกมาจากพื้นที่เสี่ยงไปส่งยังสถานทูตเพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป โดยจะมีการประสานงานให้แรงงานไทยติดต่อมาแจ้งตำแหน่งก่อนจะขับรถเข้าไปช่วยเหลือ
นอกจากนี้ พบว่าแรงงานบางคนที่ได้รับความช่วยเหลือ ได้บาดเจ็บจากการโดนยิงที่ขา ซึ่งก็ได้รับการช่วยเหลือพาส่งสถานทูตไปทำพาสปอร์ต เตรียมเดินทางกลับประเทศไทย โดยทั้งคู่สามารถประสานทางการช่วยคนไทยได้ถึง 32 คน
ล่าสุด (17 ตุลาคม 2566) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า ขณะนี้พี่แจ๋มเดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว ซึ่งระหว่างที่เดินทางมาถึง พี่แจ๋มก็ยังคงช่วยโทร. ประสานช่วยเหลือแรงงานไทยซึ่งติดอยู่ในหลุมหลบภัย และยังคงพยายามให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยแม้แต่ในตอนนี้
นับเป็นความกล้าหาญและน้ำใจที่ผู้คนต่างเข้ามาชื่นชม ยอมใจในความแกร่งของทั้งคู่ เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนไทยไม่ทิ้งกันจริง ๆ
ภาพจาก TikTok @daphan383
พี่แจ๋ม วีรสตรีไทยเปิดใจ รับอันตรายทุกจุด แต่ต้องช่วยให้ถึงที่สุด
ขณะที่ต่อมา เพจโหนกระแส รายงานว่า ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพูดคุยกับ พี่แจ๋ม หรือ นางวิภาวดี วรรณชัย อายุ 40 ปี ที่ท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น จากการสวมบทบาทเป็นวีรสตรีไทยในอิสราเอลครั้งนี้ โดยพี่แจ๋มเผยว่า ตนเองแต่งงานกับสามีชาวอิสราเอล ซึ่งเป็นทนายความและเปิดสำนักงานทนายความ เพื่อรับปรึกษาและว่าความในอิสราเอล รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานไทยในอิสราเอลมามากกว่า 15 ปีแล้ว มีบุตรด้วยกัน 3 คน และปัจจุบันเลิกกับสามีแล้ว
ในช่วงที่เกิดเหตุรุนแรง พี่แจ๋มได้ไปอยู่กับพี่น้อง คนไทยอีกคนที่ร่วมตระเวนช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล โดยระหว่างที่กลุ่มฮามาสโจมตีนั้น มีแรงงานไทยที่เคยติดต่อกับสำนักงานทนายความโทรศัพท์เข้ามาหา แชตมาขอความช่วยเหลือ จึงคุยกับพี่น้อง ว่าเกิดมาชาติเดียว ตายครั้งเดียว เราจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนไทย จากนั้นก็ขับรถออกไปพบแรงงานที่ขอความช่วยเหลือ
พบว่าบางคนแคมป์ที่พักถูกเผาทำลาย ไม่เหลือเอกสารสำคัญติดตัว บางคนได้รับบาดเจ็บอยากกลับบ้าน ตนจึงช่วยจัดการติดต่อกับทุกฝ่ายเพื่อให้คนไทยได้กลับบ้าน โดยเฉพาะ โอโน่ กับ ชาตรี แรงงานไทยที่ถูกยิง ไม่มีเอกสารติดตัว แต่ลงทะเบียนเดินทางกลับประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีแรงงานไทยที่ทราบเรื่องเดินทางมาหาถึงสนามบิน จึงช่วยติดต่อจนทุกคนได้พาสปอร์ตขาว จากนั้นก็เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมกับทุกคน
ทั้งนี้ พี่แจ๋มยังฝากถึงแรงงานไทยในอิสราเอลว่า ขอให้คนไทยที่ทำงานในอิสราเอล มีสติ และมีความปลอดภัย เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ อย่าออกนอกพื้นที่ เพราะหากเกิดเหตุร้ายไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ ยอมรับว่า ทุกคนลำบาก แต่ถ้ามีสติ ตั้งใจ ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ ส่วนสถานการณ์ในอิสราเอลนั้น ทุกวันนี้ ยังไม่มีความคลี่คลายลงเลย ขอให้ทุกคนระวัง รักษาตัวเองให้ดี และดีใจกับคนไทยที่ปลอดภัยและได้กลับบ้าน เสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกรายด้วย
สาเหตุที่พี่แจ๋มเดินทางกลับไทยครั้งนี้ เพราะคุณแม่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา จึงเดินทางมาเคารพศพและร่วมพิธีฌาปนกิจ และจะอยู่ที่ไทยถึงเดือนธันวาคม 2566 จึงเดินทางกลับอิสราเอล
