หมอลูกเกด หยิบเคส หมออินเดียตบคนไข้ หลังปกปิดประวัติติด HIV พร้อมเล่ากรณีใกล้เคียง แนะหากไม่แจ้งจะเป็นผลเสียต่อการรักษา
ภาพจาก X @Indian__doctor
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 พญ.ชุณหกาญจน์ เพ็ชรพันธ์ศรี หรือ หมอลูกเกด จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตา (LASIK) โพสต์คลิปผ่าน TikTok @lasikdr.lookgade เล่าเคสที่หมออินเดียตบคนไข้ เพราะคนไข้ปกปิดประวัติ HIV พร้อมให้ความรู้ถึงเหตุผลที่ไม่ควรปกปิดประวัติ HIV ซึ่งนอกจากจะช่วยเซฟหมอแล้ว ยังอาจเป็นผลเสียต่อตัวคนไข้เองด้วย
หมอลูกเกด เล่าว่า "หมออินเดียตบคนไข้เพราะคนไข้ปกปิดประวัติ HIV จริง ๆ ในฐานะหมอ หมอเชื่อว่ากว่า 95% ของหมอ ต้องเคยเจอคนไข้ปกปิดประวัติ HIV เพียงแต่หมอจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้นเอง"
อย่างเคสที่หมอเกดเคยเจอเป็น บุคลากรทางการแพทย์ด้วยกันนี่แหละ คนไข้มาด้วยอาการตามัว ตรวจตา 2 ข้างเจอว่าประสาทตามันเน่าเสียหายไปหมดเลย ในฐานะหมอตาเรารู้เลยว่า โรคนี้ จะเกิดเฉพาะในคนไข้ที่ภูมิคุ้มกันตก แน่นอนว่า HIV เป็นหนึ่งในโรคที่เราจะต้องคิดไว้เลย
ดังนั้น เราจึงต้องถามคนไข้ เช่น คนไข้ได้กินยา HIV หรือมีโรคประจำตัวอะไรอยู่หรือเปล่า คนไข้ยืนยันว่า ไม่มี เราก็ทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อ แต่ไม่ว่าเราจะหาสาเหตุยังไง ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมคนไข้คนนี้ถึงภูมิต่ำ เราเลยขอคนไข้เพื่อตรวจเชื้อ HIV ซ้ำ
ภาพจาก TikTok @lasikdr.lookgade
ความพีคอยู่ที่ คนไข้กลับปฏิเสธตรวจ HIV และแจ้งว่า จริง ๆ ทราบอยู่แล้วว่าตัวเองติดเชื้อ HIV แต่มองว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ เพราะแพทย์ยังไงก็ต้องป้องกันตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งตามจริงสิ่งที่คนไข้ท่านนี้พูดมันก็ถูก แต่ลองคิดดูว่าในภาพของความเป็นจริงหมอทุกคนก็ไม่ได้ใส่ถุงมือตรวจคนไข้ทุกเคสนะโดยเฉพาะหมอตา
แม้ว่าโอกาสที่จะติดเชื้อจะน้อย อย่างไรก็ตาม ก็ต้องแจ้งคุณหมอ เพราะเมื่อหมอไม่ทราบว่าคนไข้เป็น HIV มันจะทำให้การวินิจฉัยโรคมันยากขึ้น และในคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HIV, HPV, HCV เวลาที่เราต้องเข้าห้องผ่าตัดมันจะต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างที่ใช้แล้วทิ้ง เช่น ชุดผ่าตัด จะได้ใช้แบบเป็นกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง จะได้ลดภาระในการนำมาทำความสะอาด
ทุกคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า HIV ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวเลย เพียงแต่การที่ปกปิดประวัติมันจะเป็นผลเสียต่อตัวคนไข้เอง มากกว่าหมอ
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 พญ.ชุณหกาญจน์ เพ็ชรพันธ์ศรี หรือ หมอลูกเกด จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตา (LASIK) โพสต์คลิปผ่าน TikTok @lasikdr.lookgade เล่าเคสที่หมออินเดียตบคนไข้ เพราะคนไข้ปกปิดประวัติ HIV พร้อมให้ความรู้ถึงเหตุผลที่ไม่ควรปกปิดประวัติ HIV ซึ่งนอกจากจะช่วยเซฟหมอแล้ว ยังอาจเป็นผลเสียต่อตัวคนไข้เองด้วย
หมอลูกเกด เล่าว่า "หมออินเดียตบคนไข้เพราะคนไข้ปกปิดประวัติ HIV จริง ๆ ในฐานะหมอ หมอเชื่อว่ากว่า 95% ของหมอ ต้องเคยเจอคนไข้ปกปิดประวัติ HIV เพียงแต่หมอจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้นเอง"
อย่างเคสที่หมอเกดเคยเจอเป็น บุคลากรทางการแพทย์ด้วยกันนี่แหละ คนไข้มาด้วยอาการตามัว ตรวจตา 2 ข้างเจอว่าประสาทตามันเน่าเสียหายไปหมดเลย ในฐานะหมอตาเรารู้เลยว่า โรคนี้ จะเกิดเฉพาะในคนไข้ที่ภูมิคุ้มกันตก แน่นอนว่า HIV เป็นหนึ่งในโรคที่เราจะต้องคิดไว้เลย
ดังนั้น เราจึงต้องถามคนไข้ เช่น คนไข้ได้กินยา HIV หรือมีโรคประจำตัวอะไรอยู่หรือเปล่า คนไข้ยืนยันว่า ไม่มี เราก็ทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อ แต่ไม่ว่าเราจะหาสาเหตุยังไง ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมคนไข้คนนี้ถึงภูมิต่ำ เราเลยขอคนไข้เพื่อตรวจเชื้อ HIV ซ้ำ
ภาพจาก TikTok @lasikdr.lookgade
ความพีคอยู่ที่ คนไข้กลับปฏิเสธตรวจ HIV และแจ้งว่า จริง ๆ ทราบอยู่แล้วว่าตัวเองติดเชื้อ HIV แต่มองว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ เพราะแพทย์ยังไงก็ต้องป้องกันตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งตามจริงสิ่งที่คนไข้ท่านนี้พูดมันก็ถูก แต่ลองคิดดูว่าในภาพของความเป็นจริงหมอทุกคนก็ไม่ได้ใส่ถุงมือตรวจคนไข้ทุกเคสนะโดยเฉพาะหมอตา
แม้ว่าโอกาสที่จะติดเชื้อจะน้อย อย่างไรก็ตาม ก็ต้องแจ้งคุณหมอ เพราะเมื่อหมอไม่ทราบว่าคนไข้เป็น HIV มันจะทำให้การวินิจฉัยโรคมันยากขึ้น และในคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HIV, HPV, HCV เวลาที่เราต้องเข้าห้องผ่าตัดมันจะต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างที่ใช้แล้วทิ้ง เช่น ชุดผ่าตัด จะได้ใช้แบบเป็นกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง จะได้ลดภาระในการนำมาทำความสะอาด
ทุกคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า HIV ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวเลย เพียงแต่การที่ปกปิดประวัติมันจะเป็นผลเสียต่อตัวคนไข้เอง มากกว่าหมอ
อย่างไรก็ตามในเคสของ
หมออินเดีย สิ่งที่เขาทำคือผิดทุกประการ หมอไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายคนไข้
เพราะหลักการแรกของแพทย์คือ ไม่ทำร้ายคนไข้ และ HIV
ในปัจจุบันไม่ใช่โรคที่น่ากลัวเลย คนไข้ของหมอส่วนใหญ่จะบอกหมอหมดเลย
ซึ่งหมอมองว่าเป็นอะไรที่น่ารักมาก ทำให้เรารับทราบความเสี่ยง
คนไข้ก็รับทราบ ทำให้วินิจฉัยได้ถูกต้อง