แฟรงค์ คาพริโอ ผู้พิพากษาใจดีคนดัง แจ้งข่าวร้ายป่วยมะเร็ง ขอทุกคนสวดภาวนาให้

 
               แฟรงค์ คาพริโอ ผู้พิพากษาใจดีที่สุดในโลก ขวัญใจชาวโซเชียล เผยคลิปเปิดใจ แจ้งข่าวร้ายป่วยมะเร็ง วอนทุกคนสวดภาวนาแก่เขา ขอบคุณทุกความปราถนาดีที่ส่งให้

               แฟรงค์ คาพริโอ (Frank Caprio) คือหัวหน้าผู้พิพากษา ของศาลท้องถิ่นแห่งเมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "ผู้พิพากษาที่ใจดีที่สุดในโลก" การตัดสินคดีอันเป็นไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ทำความเข้าใจ และใช้หลักเหตุผลประกอบการตัดสินใจของเขา ทำให้ผู้พิพากษาท่านนี้ กลายมาเป็นขวัญใจของผู้คนทั่วโลก ที่ได้รับชมกระบวนการพิจารณคดีของเขาผ่านรายการโทรทัศน์และสื่อต่าง ๆ

               อย่างไรก็ตาม ล่าสุด (13 ธันวาคม 2566) เว็บไซต์กัลฟ์นิวส์ รายงานว่า แฟรงค์ คาพริโอ ในวัย 87 ปี เพิ่งออกมาแชร์คลิปสะเทือนใจผ่านอินสตาแกรม เปิดเผยว่าขณะนี้เขากำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งตับอ่อน และเขาก็เพิ่งทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ในช่วงวันเกิดที่ผ่านมา ซึ่งปกติจะเป็นโอกาสอันน่ายินดีสำหรับเขา

               คาพริโอ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาที่ศาลในเมืองพรอวิเดนซ์ มาตั้งแต่ปี 2528 กล่าวว่า...

               "หนึ่งในวันที่มีความสุขที่สุดในรอบปีสำหรับผม ก็คือวันเกิด ไม่นานมานี้ผมได้ฉลองวันเกิดปีที่ 87 ไป และผมได้รับข้อความแสนวิเศษอย่างมากมายจากทั่วโลก วันเกิดปีนี้มันค่อนข้างแตกต่างจากวันเกิดปีอื่นที่ผมเคยมี ไม่นานมานี้ผมไม่ค่อยสบายและได้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ซึ่งผลก็ไม่ดีนัก ผมได้รับการวินัจฉัยว่าเป็นมะเร็ง"


            อย่างไรก็ตาม คาพริโอยังถ่ายทอดถึงความมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับเส้นทางอันยากลำบากและยาวนาน เขาพร้อมที่จะต่อสู้อย่างถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการสนับสนุนจากทีมแพทย์ที่รัฐโรดไอแลนด์ และสถาบันมะเร็งดานา-ฟาร์เบอร์ ในเมืองบอสตันรัฐแมสซาชูเซตส์

            ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักจะถามเขาอยู่เสมอก็คือ "เราจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง" ดังนั้นคาพริโอจึงอยากขอทุกคนว่า "ได้โปรดสวดภาวนาให้ผมด้วย ในรูปแบบของท่านเอง"

            คาพริโอ เผยว่าเขาต้องการพลังจากการสวดภาวนา ซึ่งเขาเชื่อว่าเมื่อรวมเข้ากับกระบวนการรักษาจากแพทย์ จะกลายเป็นอาวุธอันทรงพลังที่ช่วยให้เขารอดชีวิต และการที่เขาได้รู้ว่ามีผู้คนคิดคำนึงถึงเขา ก็เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อเขาอย่างยิ่ง


ขอบคุณข้อมูลจาก Gulf News