เปิดพิรุธ 4 ข้อ จากคำให้การ พยาน หลักฐาน ที่นำไปสู่การตัดสินคดีน้องชมพู่ จำคุกลุงพล 20 ปี ส่วนป้าแต๋นยกฟ้อง ปิดคดีบ้านกกกอกที่เป็นปริศนา ศาลเชื่อว่าลุงพลไม่ได้แค้น น้องชมพู่
วันที่ 20 ธันวาคม 2566 กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า ศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้มีการอ่านคำพิพากษาในคดีมหากาพย์ของ น้องชมพู่ ด.ญ.อรวรรณ์ วงศ์ศรีชา ที่เสียชีวิตที่ภูเหล็กไฟโดยที่มีลุงพล ไชย์พล วิภา ตกเป็นจำเลยที่ 1 และถูกฟ้องใน 3 ข้อหา คือ
1. เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล
2. ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย
3. กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณพบศพก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น
ส่วนป้าแต๋น หรือ นางสมพร หลาบโพธิ์ ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหากระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณพบศพก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น
โดยที่ศาลมีคำพิพากษาว่า ลุงพล ไชย์พล วิภา จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี, พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุสมควร จำคุก 10 ปี ในส่วนข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 คือ ป้าแต๋น กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งแก่โจทก์ร่วมทั้ง 2
ภาพจาก ลุงพลป้าแต๋น แฟมิลี่
เปิดพิรุธ 4 ข้อของลุงพล จากคำให้การ มือถือ พยาน นำไปสู่การจำคุก 20 ปี
ทั้งนี้ ศาลได้มีการพิจารณาว่า ลุงพล จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายหรือไม่ โดยพบว่า
1. ในวันเกิดเหตุ น้องชมพู่และเด็กหญิง ก. ได้นอนเล่นมือถือที่หน้าบ้านในเวลา 09.00 น. จนเวลา 09.50 น. เด็กหญิง ก. มองไม่เห็นน้องชมพู่ จึงไปตามหา เด็กหญิง ก. บอกว่า ไม่ได้ยินเสียงน้องชมพู่ร้อง และเชื่อว่าคนที่พาน้องชมพู่ไป น่าจะเป็นคนใกล้ชิด เนื่องจากน้องชมพู่จะร้องหากคนแปลกหน้าอุ้ม ทำให้เจ้าพนักงานสอบสวนตามสืบบุคคลทั้งหมด 14 คน ได้แก่ ญาติ 12 คนและคนใกล้ชิด 2 คน พบว่ามี 13 คนที่สามารถยืนยันที่อยู่หรืออ้างอิงจากตำแหน่งโทรศัพท์มือถือได้ ยกเว้นลุงพลคนเดียว ที่ไม่สามารถยืนยันที่อยู่ได้ในเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไป
2. คำให้การของลุงพลมีพิรุธหลายอย่าง เช่น ลุงพลให้การกับตำรวจในชั้นสืบสวนว่า ขณะเกิดเหตุตนไปรับพระ ส. ที่วัดถ้ำภูผาแอก แต่ขณะเดินทางไปที่วัด ป้าแต๋นได้โทร. ติดต่อบอกว่าน้องชมพู่หายตัวไป แต่จริง ๆ แล้ว ครอบครัวของลุงพลมีโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว และมือถือเครื่องนั้นอยู่กับป้าแต๋น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ป้าแต๋นจะโทร. หาลุงพลได้
ด้านพระ บ. ที่จำวัดที่วัดถ้ำภูผาแอก ยืนยันว่า เวลาประมาณ 10.00 น. ลุงพลได้เดินทางไปที่วัดและพูดกับพระ บ. ว่า หลานหายไป เกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ในขณะนั้น ลุงพลไม่มีมือถือ ลุงพลต้องไม่ทราบว่าเหตุใดน้องชมพู่ถึงหายตัวไป
ภาพจาก JINTARA CHANNEL OFFICIAL
ต่อมาในขณะสืบสวน นาง พ. เบิกความว่า ไม่เห็นว่าลุงพลอยู่ที่สวนยางพารา แต่เป็นการกลับคำให้การภายหลังเกิดเหตุกว่า 2 ปี ซึ่งอาจเป็นการกระทำเพื่อช่วยเหลือลุงพล คำให้การของนาง พ. จึงมีน้ำหนักมากกว่า
4. เมื่อลุงพลตกเป็นผู้ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปค้นรถยนต์ของลุงพล และพบเส้นผม 16 เส้น และพยานวัตถุอื่น จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์และประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญ พบว่า เส้นผม 1 เส้นที่ตกในรถของลุงพล มีองศาของรอยตัด หน้าตัด พื้นผิวด้านข้างตรงกับเส้นผมของน้องชมพู่ 2 เส้น ที่ตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบร่างของน้อง ผมทั้ง 3 เส้นคาดว่าถูกตัดในคราวเดียวกันด้วยของแข็งมีคม จึงเชื่อได้ว่า ลุงพลใช้กรรไกรตัดผมน้องชมพู่ แต่เนื่องจากเส้นผมเล็กมาก จึงไม่ทันสังเกตว่ามีเส้นผม 1 เส้นตกในรถของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าลุงพลไม่ได้มีเหตุโกรธเคือง มีเจตนาฆ่าหรือต้องการทอดทิ้งน้องชมพู่ และจากรายงานการชันสูตรพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผากด้านซ้าย และท้ายทอยเป็นจ้ำ จึงคาดว่าน้องชมพู่หมดสติไป แต่ลุงพลไม่ดูให้ดีจึงพาน้องชมพูไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ จึงเข้าข่ายเป็นความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย