เปิดวงจรปิด เซเลบสาวถูกลูกนักการเมืองดัง แกล้งยึดมือถือ ก่อนมีการลากตัวเข้าไปในบ้าน จนฟกช้ำดำเขียวทั้งตัว ด้าน อภิชัย เตชะอุบล นักธุรกิจคนดังและกรรมการบริหารพลังประชารัฐ ออกมายอมรับ เป็นคนเอามือถือไปให้เซเลบสาวจริง
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
จากกรณี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 เจ้าที่ตำรวจ สน.ประเวศ ได้รับแจ้งเรื่องจาก เซเลบสาวชื่อดังคนหนึ่ง อายุ 25 ปี ระบุว่าถูก นายณพ (นามสมมุติ) ไฮโซหนุ่ม อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นลูกชายอดีตนักการเมือง ล่อลวงและพยายามกระทำอนาจาร พร้อมกับมีการทำร้ายร่างกาย จนกระทั่ง ผู้เสียหายวิ่งหลบหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากพลเมืองดี โดยเหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. ณ บ้านพักหรู แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม.
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
พฤติการณ์จากใบแจ้งความที่ เซเลบสาว เข้าแจ้งความ บอกว่า ตัวเองพบกับฝ่ายชายคู่กรณีที่สถานบันเทิงหรูแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ จากนั้น ฝ่ายชายซักชวนไปนั่งที่โต๊ะร่วมกัน ชักชวนบังคับให้ดื่มสุรา และได้แย่งเอาโทรศัพท์มือถือไป หลังจากนั้น ทางไฮโซได้บอกว่าจะพาตนไปส่งหาแฟนหนุ่มของเธอที่ร้าน ๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กัน และจะให้นั่งรถไปด้วยกัน หากไม่ไปด้วยจะไม่คืนโทรศัพท์ให้ เธอจึงยินยอมนั่งรถไปด้วย
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
แต่ฝ่ายชายกลับพาไปที่บ้านที่เกิดเหตุ โดยบอกว่าจะแวะมาเอาของก่อน ในระหว่างถึงบ้านที่เกิดเหตุ ปรากฎว่า เซเลบสาวมีการอาเจียน ฝ่ายชายให้ผู้เสียหายเข้าไปในบ้านเพื่อล้างหน้า จากนั้น ฝ่ายชายได้กระทำอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ผู้เสียหายพยายามหลบหนี ฝ่ายชายได้ใช้กำลังหน่วงเหนี่ยวฉุดกระชากไม่ให้กลับบ้าน ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และฝ่ายชายได้ใช้กำลังฉุดกระชาก โดยจะพาเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุ จน น.ส.เอ ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
เมื่อสามารถออกมาจากสถานที่ดังกล่าวแล้ว ผู้เสียหายพยายามขอความช่วยเหลือจาก รปภ. บริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ ทั้ง รปภ. ยังบอกว่า ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ผู้เสียหายจึงพยายามวิ่งหนี ก่อนจะพบพลเมืองดีขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ตนจึงขออาศัยขึ้นรถออกจากบริเวณเกิดเหตุ ยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับคู่กรณีจนถึงที่สุด
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ไล่กล้องวงจรปิด พบเซเลบสาวโดนฉุดกระชาก วิ่งหนีออกมาเท้าเปล่า ทิ้งมือถือไว้เลย
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ความคืบหน้าเรื่องนี้ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3 รายงานว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ ซึ่งคาดว่าเป็นคลิปที่เกิดขึ้นบริเวณด้านหน้าบ้านของผู้ถูกกล่าวหา พบว่า ช่วงเวลา 01.59 น. เป็นภาพขณะที่รถยนต์เลี้ยวเข้ามาจอด ก่อนที่ฝ่ายชายจะเดินลงมาจากรถ ส่วนฝ่ายหญิงลงไปนั่งกองอยู่ด้านหน้ารถอีกคัน ลักษณะคล้ายกับเมาแล้วอาเจียน ก่อนที่ฝ่ายชายจะประคองเข้าไปในบ้าน พอเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ฝ่ายชายจับมือฝ่ายหญิงเดินเข้าไป โดยช่วงนี้ มีรายงานว่า ฝ่ายชายพาฝ่ายหญิงไปล้างหน้า หลังจากที่อาเจียน
ต่อมาเวลา 02.21 น. ทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านคุยกันตรงรถ เหมือนจะขึ้นรถ แต่สุดท้ายไม่ได้ขึ้น ก่อนที่ในเวลาต่อมา ทั้งคู่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกรอบ
จากนั้น กล้องวงจรปิดอีกคลิป เวลาประมาณ 02.57 น. จะเห็นได้ว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นฝ่ายหญิง ได้วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ก่อนที่อีกคลิปหนึ่ง เป็นช่วงเวลา 03.12 น. จะเห็นได้ว่า มีฝ่ายชายฉุดกระชากฝ่ายหญิง จนฝ่ายหญิงล้มลงไปกับพื้นถึง 2 ครั้ง แต่ฝ่ายชายก็ยังไม่ยอมหยุดฉุดกระชากลากถูต่อ และพยายามลากฝ่ายหญิงกลับเข้าไปในบ้าน
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
เกี่ยวกับคดีนี้ วานนี้ (12 กุมภาพันธ์) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ สายไหมต้องรอด พร้อมด้วย น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขา รมว.อว. ซึ่งรู้จักกับผู้เสียหาย ได้พาเซเลบสาวผู้เสียหาย มาติดตามความคืบหน้าทางคดีที่ สน.ประเวศ โดยยื่นเอกสารตรวจร่างกายจากทางโรงพยาบาลเพิ่มเติมให้กับเจ้าที่ตำรวจ ก่อนจะโชว์ภาพให้สื่อมวลชนดูว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ฟกช้ำทั้งบริเวณมือ หัวเข่า และข้อศอก บาดแผลที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากผู้ก่อเหตุมีการฉุดกระชากลากผู้เสียหายให้กลับเข้าบ้าน หลังจากที่พยายามวิ่งหนีขณะเกิดเหตุ
น.ส.สุชาดา เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า เซเลบสาว ไปเที่ยวแล้วพบกับคู่กรณีที่ร้านแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ โดยที่ผ่านมา ก็รู้จักกันในแวดวงสังคมอยู่แล้ว ก่อนที่จะถูกชวนให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน จากนั้นก็ถูกฝ่ายชายยึดโทรศัพท์มือถือในลักษณะแกล้งกัน พอตอนที่ฝ่ายหญิงจะกลับไปหาแฟนหนุ่มที่อยู่อีกร้านหนึ่ง ใกล้ ๆ กัน คู่กรณีก็อ้างว่าจะพาไป แต่ปรากฏว่าพอขึ้นรถมา คู่กรณีกลับพาไปที่บ้านพัก ซึ่งเป็นคฤหาสน์หรูของผู้ก่อเหตุเอง ซึ่งพอรู้สึกตัวมาอยู่หน้าบ้านผู้ก่อเหตุแล้ว แต่รายละเอียดพฤติการณ์ ทั้งหมดอยู่ในสำนวน
ขณะเกิดเหตุ เซเลบสาว พยายามวิ่งหนีออกจากบ้านถึง 3 ครั้ง วิ่งหนีแบบตัวเปล่า รองเท้าไม่ได้ใส่ โทรศัพท์มือถือไม่ได้เอามา โดย 2 ครั้งแรกนั้น ตัวผู้ก่อเหตุสามารถมาตามตัวได้ทัน และมีการฉุดกระชากลากถูจนเกิดบาดแผลตามตัว แต่ครั้งที่ 3 ผู้เสียหายวิ่งออกมาถึงนอกหมู่บ้าน จนพบเจอกับมอเตอร์ไซค์ของพลเมืองดีที่เป็นเด็กชายอายุ 13 ปี จึงเข้าช่วยเหลือ และรอดมาได้ ย้ำว่าทุกครั้งที่หนี ผู้เสียหายพยายามที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นทุกครั้ง
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ส่วนกรณีเรื่องโทรศัพท์มือถือ หลังจากวันเกิดเหตุทางผู้เสียหายเดินทางกลับมายังที่บ้านของผู้ก่อเหตุเพื่อเอาโทรศัพท์คืน ก่อนที่พ่อของผู้ก่อเหตุ จะเป็นคนเดินเอาโทรศัพท์มาคืนให้ และพูดจาประมาณว่า ทางฝั่งผู้เสียหายเป็นคนเอาโทรศัพท์ไปเอง ไม่ได้มีการซ่อนแต่อย่างใด
ประเด็นที่พ่อของคู่กรณีออกมาระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง และยังกล่าวหาว่ากลุ่มผู้เสียหายเป็นแก๊งที่ทำลายชื่อเสียง และมีหลักฐานเตรียมดำเนินคดีกลับนั้น น.ส.สุชาดา กล่าวว่า ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลครอบครัวสำคัญกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิง จนสามารถทำร้ายใครก็ได้เช่นนี้หรือ ตนมองว่าไม่ใช่ การที่ดื่มสุรายาเมา และจะสามารถไปก่อเหตุทำร้ายผู้อื่นได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งฝั่งผู้เสียหายเองก็มีชื่อมีเสียง และมีฐานะเพียงพอ ไม่จำเป็นจะต้องไปดิสเครดิตเรียกเงินจากใคร ยืนยันว่า ตนอยากให้ผู้กระทำผิดถูกดำเนินคดี หรืออย่างน้อยจะให้มีความผิดสำนึก และมากล่าวขอโทษยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
ด้าน เซเลบสาวผู้เสียหาย เผยว่า
สภาพจิตใจตนยังไม่พร้อม และยังหวาดกลัว แต่ครั้งนี้ ที่ออกมาแจ้งความ
เพราะได้กลับไปทบทวนตัวเอง ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า
ไม่อยากให้มาเกิดซ้ำกับใครอีก จึงต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
ตนเองเชื่อมั่นในกระบวนการของกฎหมาย
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ช่วงหนึ่ง ผู้เสียหายกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า อยากขอบคุณพลเมืองดี ที่เป็นเด็กชายวัย 13 ปี ที่เข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากไม่มีน้องพลเมืองดีคนนี้ ตนก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ส่วนประเด็นที่วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ แต่ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ ตนเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเข้าใจสถานการณ์ดี
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ความคืบหน้าทางคดี พ.ต.อ. นิภพล สุขนิยม รอง ผบก.น.4 และ พ.ต.ท. พีรวัฒน์ สุขรมย์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ประเวศ เผยว่า ขณะนี้มีพยานหลักฐานครบแล้ว เบื้องต้นการกระทำเข้าข่ายความผิด ทำร้ายร่างกาย หน่วงเหนี่ยวกักขัง และอนาจาร โดย วานนี้ (12 กุมภาพันธ์) ได้ออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาแล้ว โดยผู้ก่อเหตุได้ติดต่อมาหาตำรวจแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดในทางคดี และยังไม่ได้ระบุว่า จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนเมื่อไหร่ ยืนยันว่า ตำรวจไม่มีความกังวล รวมถึงไม่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือมีบุคคลใดมากดดันการทำงาน
เบื้องต้นมีรายงานว่า ไฮโซคนดังกล่าวเป็นอดีตตำรวจ สังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ซึ่งได้ลาออกจากราชการ เมื่อปลายปี 2566
สอบถาม รปภ. ของโรงแรมหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 03.00 น. ตนกำลังเข้าเวร และตรวจตราพื้นที่รอบ ๆ แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงกับผู้ชายทะเลาะกันเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ซึ่งได้ยินเสียงผู้หญิงชัดเจน และมีบางช่วงที่ผู้หญิงกรี๊ด ตนจึงออกมาดู จากนั้น ก็ยังคงเห็นทะเลาะกันอยู่ จึงส่องไฟไปรอบ ๆ บริเวณ ทำให้ทั้งคู่เงียบไป
สักพัก ตนเห็นผู้หญิงเดินออกมาแล้วเดินอ้อมไปทางปากซอย แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นฝั่งผู้ชายเดินตามไปหรือไม่ และยืนยันว่า ตนเห็นเดินออกมาแค่รอบเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเหตุการณ์แล้ว เพราะไปตรวจตราพื้นที่ ยืนยันว่า ฝ่ายหญิงไม่ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือแต่อย่างใด
ขณะที่อีกจุด รปภ.ใกล้ ๆ หน้าปากซอย ให้ข้อมูลว่า ในวันเกิดเหตุ มีผู้หญิงวิ่งเข้ามาหลบในป้อมยาม แล้วบอกว่าแฟนเป็นตำรวจ แล้วก็พูดแต่จับใจความไม่ได้ ตนก็ถามว่าเข้ามาได้อย่างไร ก่อนจะบอกให้ออกไป แล้วจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ออกไป โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ต่อจากนั้น ตนไม่ทราบ
สอบถามไปยัง นายอภิชัย เตชะอุบล หรือเสี่ยโต กรรมการบริหารพลังประชารัฐ เนื่องจากมีกระแสข่าวออกมาว่า ไฮโซหนุ่มคนดังกล่าว เป็นลูกชายของนายอภิชัย โดยชี้แจงว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ไม่มีอะไร ส่วนที่มีข้อมูลว่า นายอภิชัย เป็นคนนำโทรศัพท์ไปคืนให้กับหญิงคนดังกล่าวนั้น นายอภิชัย ยอมรับว่า ตนเป็นคนนำมือถือให้กับหญิงคนดังกล่าวจริง เพราะโทรศัพท์ถูกทิ้งไว้อยู่ในห้อง ตนยืนยันว่าไม่มีอะไร พวกนี้เป็นแก๊งทำลายชื่อเสียง ตนนั้นรู้ดี มีพยานหลักฐานอยู่แล้ว และมั่นใจในพยานหลักฐาน กำลังรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกลับ
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
เซเลบไปเจอไฮโซดัง นามสกุลเตชะอุบล แกล้งยึดโทรศัพท์ ก่อนพาขับรถมาที่บ้าน
พฤติการณ์จากใบแจ้งความที่ เซเลบสาว เข้าแจ้งความ บอกว่า ตัวเองพบกับฝ่ายชายคู่กรณีที่สถานบันเทิงหรูแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ จากนั้น ฝ่ายชายซักชวนไปนั่งที่โต๊ะร่วมกัน ชักชวนบังคับให้ดื่มสุรา และได้แย่งเอาโทรศัพท์มือถือไป หลังจากนั้น ทางไฮโซได้บอกว่าจะพาตนไปส่งหาแฟนหนุ่มของเธอที่ร้าน ๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กัน และจะให้นั่งรถไปด้วยกัน หากไม่ไปด้วยจะไม่คืนโทรศัพท์ให้ เธอจึงยินยอมนั่งรถไปด้วย
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
แต่ฝ่ายชายกลับพาไปที่บ้านที่เกิดเหตุ โดยบอกว่าจะแวะมาเอาของก่อน ในระหว่างถึงบ้านที่เกิดเหตุ ปรากฎว่า เซเลบสาวมีการอาเจียน ฝ่ายชายให้ผู้เสียหายเข้าไปในบ้านเพื่อล้างหน้า จากนั้น ฝ่ายชายได้กระทำอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ผู้เสียหายพยายามหลบหนี ฝ่ายชายได้ใช้กำลังหน่วงเหนี่ยวฉุดกระชากไม่ให้กลับบ้าน ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และฝ่ายชายได้ใช้กำลังฉุดกระชาก โดยจะพาเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุ จน น.ส.เอ ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
เมื่อสามารถออกมาจากสถานที่ดังกล่าวแล้ว ผู้เสียหายพยายามขอความช่วยเหลือจาก รปภ. บริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ ทั้ง รปภ. ยังบอกว่า ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ผู้เสียหายจึงพยายามวิ่งหนี ก่อนจะพบพลเมืองดีขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ตนจึงขออาศัยขึ้นรถออกจากบริเวณเกิดเหตุ ยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับคู่กรณีจนถึงที่สุด
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ไล่กล้องวงจรปิด พบเซเลบสาวโดนฉุดกระชาก วิ่งหนีออกมาเท้าเปล่า ทิ้งมือถือไว้เลย
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ต่อมาเวลา 02.21 น. ทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านคุยกันตรงรถ เหมือนจะขึ้นรถ แต่สุดท้ายไม่ได้ขึ้น ก่อนที่ในเวลาต่อมา ทั้งคู่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกรอบ
จากนั้น กล้องวงจรปิดอีกคลิป เวลาประมาณ 02.57 น. จะเห็นได้ว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นฝ่ายหญิง ได้วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ก่อนที่อีกคลิปหนึ่ง เป็นช่วงเวลา 03.12 น. จะเห็นได้ว่า มีฝ่ายชายฉุดกระชากฝ่ายหญิง จนฝ่ายหญิงล้มลงไปกับพื้นถึง 2 ครั้ง แต่ฝ่ายชายก็ยังไม่ยอมหยุดฉุดกระชากลากถูต่อ และพยายามลากฝ่ายหญิงกลับเข้าไปในบ้าน
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
เกี่ยวกับคดีนี้ วานนี้ (12 กุมภาพันธ์) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ สายไหมต้องรอด พร้อมด้วย น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขา รมว.อว. ซึ่งรู้จักกับผู้เสียหาย ได้พาเซเลบสาวผู้เสียหาย มาติดตามความคืบหน้าทางคดีที่ สน.ประเวศ โดยยื่นเอกสารตรวจร่างกายจากทางโรงพยาบาลเพิ่มเติมให้กับเจ้าที่ตำรวจ ก่อนจะโชว์ภาพให้สื่อมวลชนดูว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ฟกช้ำทั้งบริเวณมือ หัวเข่า และข้อศอก บาดแผลที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากผู้ก่อเหตุมีการฉุดกระชากลากผู้เสียหายให้กลับเข้าบ้าน หลังจากที่พยายามวิ่งหนีขณะเกิดเหตุ
น.ส.สุชาดา เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า เซเลบสาว ไปเที่ยวแล้วพบกับคู่กรณีที่ร้านแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ โดยที่ผ่านมา ก็รู้จักกันในแวดวงสังคมอยู่แล้ว ก่อนที่จะถูกชวนให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน จากนั้นก็ถูกฝ่ายชายยึดโทรศัพท์มือถือในลักษณะแกล้งกัน พอตอนที่ฝ่ายหญิงจะกลับไปหาแฟนหนุ่มที่อยู่อีกร้านหนึ่ง ใกล้ ๆ กัน คู่กรณีก็อ้างว่าจะพาไป แต่ปรากฏว่าพอขึ้นรถมา คู่กรณีกลับพาไปที่บ้านพัก ซึ่งเป็นคฤหาสน์หรูของผู้ก่อเหตุเอง ซึ่งพอรู้สึกตัวมาอยู่หน้าบ้านผู้ก่อเหตุแล้ว แต่รายละเอียดพฤติการณ์ ทั้งหมดอยู่ในสำนวน
ขณะเกิดเหตุ เซเลบสาว พยายามวิ่งหนีออกจากบ้านถึง 3 ครั้ง วิ่งหนีแบบตัวเปล่า รองเท้าไม่ได้ใส่ โทรศัพท์มือถือไม่ได้เอามา โดย 2 ครั้งแรกนั้น ตัวผู้ก่อเหตุสามารถมาตามตัวได้ทัน และมีการฉุดกระชากลากถูจนเกิดบาดแผลตามตัว แต่ครั้งที่ 3 ผู้เสียหายวิ่งออกมาถึงนอกหมู่บ้าน จนพบเจอกับมอเตอร์ไซค์ของพลเมืองดีที่เป็นเด็กชายอายุ 13 ปี จึงเข้าช่วยเหลือ และรอดมาได้ ย้ำว่าทุกครั้งที่หนี ผู้เสียหายพยายามที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นทุกครั้ง
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ส่วนกรณีเรื่องโทรศัพท์มือถือ หลังจากวันเกิดเหตุทางผู้เสียหายเดินทางกลับมายังที่บ้านของผู้ก่อเหตุเพื่อเอาโทรศัพท์คืน ก่อนที่พ่อของผู้ก่อเหตุ จะเป็นคนเดินเอาโทรศัพท์มาคืนให้ และพูดจาประมาณว่า ทางฝั่งผู้เสียหายเป็นคนเอาโทรศัพท์ไปเอง ไม่ได้มีการซ่อนแต่อย่างใด
ประเด็นที่พ่อของคู่กรณีออกมาระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง และยังกล่าวหาว่ากลุ่มผู้เสียหายเป็นแก๊งที่ทำลายชื่อเสียง และมีหลักฐานเตรียมดำเนินคดีกลับนั้น น.ส.สุชาดา กล่าวว่า ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลครอบครัวสำคัญกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิง จนสามารถทำร้ายใครก็ได้เช่นนี้หรือ ตนมองว่าไม่ใช่ การที่ดื่มสุรายาเมา และจะสามารถไปก่อเหตุทำร้ายผู้อื่นได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งฝั่งผู้เสียหายเองก็มีชื่อมีเสียง และมีฐานะเพียงพอ ไม่จำเป็นจะต้องไปดิสเครดิตเรียกเงินจากใคร ยืนยันว่า ตนอยากให้ผู้กระทำผิดถูกดำเนินคดี หรืออย่างน้อยจะให้มีความผิดสำนึก และมากล่าวขอโทษยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ช่วงหนึ่ง ผู้เสียหายกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า อยากขอบคุณพลเมืองดี ที่เป็นเด็กชายวัย 13 ปี ที่เข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากไม่มีน้องพลเมืองดีคนนี้ ตนก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ส่วนประเด็นที่วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ แต่ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ ตนเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเข้าใจสถานการณ์ดี
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
อภิชัย เตชะอุบล ยอมรับ เป็นคนเอามือถือไปให้เซเลบสาวจริง รปภ. ชี้ เห็นคนทะเลาะกันจริง
ความคืบหน้าทางคดี พ.ต.อ. นิภพล สุขนิยม รอง ผบก.น.4 และ พ.ต.ท. พีรวัฒน์ สุขรมย์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ประเวศ เผยว่า ขณะนี้มีพยานหลักฐานครบแล้ว เบื้องต้นการกระทำเข้าข่ายความผิด ทำร้ายร่างกาย หน่วงเหนี่ยวกักขัง และอนาจาร โดย วานนี้ (12 กุมภาพันธ์) ได้ออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาแล้ว โดยผู้ก่อเหตุได้ติดต่อมาหาตำรวจแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดในทางคดี และยังไม่ได้ระบุว่า จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนเมื่อไหร่ ยืนยันว่า ตำรวจไม่มีความกังวล รวมถึงไม่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือมีบุคคลใดมากดดันการทำงาน
เบื้องต้นมีรายงานว่า ไฮโซคนดังกล่าวเป็นอดีตตำรวจ สังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ซึ่งได้ลาออกจากราชการ เมื่อปลายปี 2566
สอบถาม รปภ. ของโรงแรมหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 03.00 น. ตนกำลังเข้าเวร และตรวจตราพื้นที่รอบ ๆ แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงกับผู้ชายทะเลาะกันเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ซึ่งได้ยินเสียงผู้หญิงชัดเจน และมีบางช่วงที่ผู้หญิงกรี๊ด ตนจึงออกมาดู จากนั้น ก็ยังคงเห็นทะเลาะกันอยู่ จึงส่องไฟไปรอบ ๆ บริเวณ ทำให้ทั้งคู่เงียบไป
สักพัก ตนเห็นผู้หญิงเดินออกมาแล้วเดินอ้อมไปทางปากซอย แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นฝั่งผู้ชายเดินตามไปหรือไม่ และยืนยันว่า ตนเห็นเดินออกมาแค่รอบเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเหตุการณ์แล้ว เพราะไปตรวจตราพื้นที่ ยืนยันว่า ฝ่ายหญิงไม่ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือแต่อย่างใด
ขณะที่อีกจุด รปภ.ใกล้ ๆ หน้าปากซอย ให้ข้อมูลว่า ในวันเกิดเหตุ มีผู้หญิงวิ่งเข้ามาหลบในป้อมยาม แล้วบอกว่าแฟนเป็นตำรวจ แล้วก็พูดแต่จับใจความไม่ได้ ตนก็ถามว่าเข้ามาได้อย่างไร ก่อนจะบอกให้ออกไป แล้วจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ออกไป โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ต่อจากนั้น ตนไม่ทราบ
สอบถามไปยัง นายอภิชัย เตชะอุบล หรือเสี่ยโต กรรมการบริหารพลังประชารัฐ เนื่องจากมีกระแสข่าวออกมาว่า ไฮโซหนุ่มคนดังกล่าว เป็นลูกชายของนายอภิชัย โดยชี้แจงว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ไม่มีอะไร ส่วนที่มีข้อมูลว่า นายอภิชัย เป็นคนนำโทรศัพท์ไปคืนให้กับหญิงคนดังกล่าวนั้น นายอภิชัย ยอมรับว่า ตนเป็นคนนำมือถือให้กับหญิงคนดังกล่าวจริง เพราะโทรศัพท์ถูกทิ้งไว้อยู่ในห้อง ตนยืนยันว่าไม่มีอะไร พวกนี้เป็นแก๊งทำลายชื่อเสียง ตนนั้นรู้ดี มีพยานหลักฐานอยู่แล้ว และมั่นใจในพยานหลักฐาน กำลังรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกลับ
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเช้านี้