คุณพ่อกลุ้ม ลูกสาววัย 4 ขวบ ถูกครูให้แก้ผ้าขึ้นเวทีกีฬาสี เล่นเกมใส่เสื้อผ้าต่อหน้าคนเป็นร้อย ซ้ำแจ้งโรงเรียน เจออีกฝ่ายรุมต่อว่า Save คุณครู
![ลูกสาว 4 ขวบ ถูกครูจับแก้ผ้าเล่นเกมกีฬาสี]( "ลูกสาว 4 ขวบ ถูกครูจับแก้ผ้าเล่นเกมกีฬาสี")
วันที่ 10 มีนาคม 2567 รายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ทางช่อง 3 รายงานเรื่องราวทุกข์ใจของผู้ปกครองรายหนึ่ง ซึ่งโพสต์ขอคำปรึกษาในกลุ่มจิตวิทยาเด็กและครอบครัว ปรึกษาเรื่องเลี้ยงลูก หลังลูกสาวอายุ 4 ขวบ ถูกครูสั่งขึ้นไปบนเวทีในกิจกรรมกีฬาสีโรงเรียนแทนเด็กคนอื่น เพื่อให้แข่งใส่เสื้อผ้า โดยพบว่ามีการนำ เด็ก ๆ อายุ 4-5 ขวบ ทั้งชายหญิงขึ้นเวที แก้ผ้าเด็กชายล่อนจ้อน ผู้หญิงเหลือแต่กางเกงใน ต่อหน้าผู้ปกครอง นักการ และคนอื่น ๆ นับร้อย ซึ่งตนนั้นรู้สึกไม่สบายใจที่ลูกถูกจับแก้ผ้าออกเหลือแต่กางเกงในโดยไม่ได้แจ้งผู้ปกครอง จึงไปแสดงความไม่พอใจกับโรงเรียน กลายเป็นว่าตนเองกลับถูกกระแสกดดันจากกลุ่มคนที่ปกป้องโรงเรียน ระบุว่า Save คุณครู จึงคาใจว่าสรุปตนเองเป็นฝ่ายผิดเหรอที่ออกมาปกป้องสิทธิของลูก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพจเฟซบุ๊ก ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก เพจซึ่งมักให้แง่คิดและแง่มุมเกี่ยวกับครอบครัว นำเรื่องราวนี้มาช่วยตีแผ่ ระบุว่า อ่านแล้วช็อก คุณพ่อพาลูกไปเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แล้วมีกิจกรรมแข่งใส่เสื้อผ้า โดยให้เด็ก 4-5 ขวบ ถอดเสื้อผ้าทั้งหมด ให้เด็กชายล่อนจ้อน เด็กหญิงเหลือแต่กางเกงใน !!! ต่อหน้าครู ผู้ปกครอง และคนที่ทำงานทั้งหมดในโรงเรียน แล้วหัวเราะกันสนุกสนานกับเกมนี้ โดยที่ไม่มีใครคิดเลยว่า นี่ทำอะไรกันอยู่ !!!
คุณพ่อเล่าเพิ่มเติมว่าลูกสาวไม่ได้ถูกระบุให้เล่นเกมนี้ตั้งแต่แรก แต่หาเด็กที่จะเล่นเกมไม่เจอ เลยเอาลูกสาวขึ้นไปแทนโดยที่ไม่บอกกติกา จุดนั้นคุณแม่ตกใจมาก พูดอะไรไม่ทัน คุณพ่อไม่พอใจเลยไปคุยกับโรงเรียน คุยกับ ผอ. เรื่องคงไปถึงในไลน์กรุ๊ป และในกรุ๊ป คุณพ่อเขียนดีนะคะ ไม่ได้ด่ากราด เขียนว่ามันคือสิทธิเด็ก และไม่โอเคเลยแบบนี้ ครูขอโทษ และรอผลจากทาง ผอ. ผู้ปกครองที่อ่าน มีมาตอบกลับแบบจะเอาอะไรกันมากมาย เกมเล่นเพื่อความสนุก ไม่ใช่เพื่อให้อับอายซะหน่อย และก็ขึ้นแฮชแท็ก #SAVEครู กันใหญ่ คุณพ่อเลยมาถามว่า นี่เขาทำผิดเหรอ ?
ตอบให้ พ่อไม่ผิดค่ะ นาทีที่มาจับเด็กแก้ผ้าต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้ ในต่างประเทศครูโดนถูกจับ สถานที่นั้นควรโดนปิด ไล่ออกให้หมด แล้วไม่ให้ข้องเกี่ยวกับระบบการศึกษาอีก เพราะมันละเมิดสิทธิเด็กอย่างรุนแรง หากเคสนี้เกิดกับตนเองจะสู้จนตัวตาย
ปัญหาของคนที่ SAVE ครู คือเข้าใจสิทธิเด็กและเรื่องการสอนให้ลูกรู้จักปกป้องร่างกาย ในส่วนที่เป็น Private parts ไม่พอ คุณปล่อยให้เขาแก้ผ้าแก้ผ่อนในที่สาธารณะเพื่อความสนุก ? คุณไว้ใจได้ยังไงว่าคนอื่นจะมองเด็กอย่างเอ็นดู ไม่ใช่ความรู้สึกอื่น คุณจะรู้ได้ยังไง ว่าไม่มีใครถ่ายภาพลูกคุณไปลงในโซเชียลให้มี Digital footprint และจะไม่มีใครเซฟภาพไปใช้ทำอะไรไม่ดีต่อ คุณจะมั่นใจได้ยังไงว่า ลูก ๆ ของคุณจะเข้าใจว่าการถูกถอดเสื้อผ้าโดยคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง หรือพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ ได้มีโอกาสเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว คิดให้มันเยอะ ๆ ด้วย ไม่ใช่เอาสนุก แต่คิดถึงผลร้ายมากมายที่มัน "อาจจะ" เกิดขึ้นกับลูกที่เรารักด้วย
SAVE ผิดคนแล้วค่ะ SAVE ลูกตัวเองที่ขึ้นไปบนเวทีเถอะค่ะ ส่วนพ่อทำถูกค่ะ ชอบตรงที่เมื่อรู้สึกว่าไม่โอเค ก็เอาเรื่องไปคุยกับทางโรงเรียนทันที และน่าจะแจ้งความเรียบร้อยแล้วจากคอมเมนต์ที่พ่อตอบกลับ
ป.ล. ส่วนตัวเป็นคนไม่เห็นด้วยกับไลน์กรุ๊ปที่ครูมาคุยรวมกับผู้ปกครองเลยนะ ถ้าผู้ปกครองด้วยกันว่าไปอย่าง เผื่ออัปเดตงานอะไรในโรงเรียน แต่มีครูแล้วมาส่งภาพลูก มาคุยอะไรแบบนี้ ส่วนตัวไม่คิดว่ามันเป็นช่องทางที่ถูกต้อง เวลาจะติดต่อครู น่าจะเป็นการส่งอีเมล หรือโทร. คุยผ่านทางโรงเรียนมากกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์
วันที่ 10 มีนาคม 2567 รายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ทางช่อง 3 รายงานเรื่องราวทุกข์ใจของผู้ปกครองรายหนึ่ง ซึ่งโพสต์ขอคำปรึกษาในกลุ่มจิตวิทยาเด็กและครอบครัว ปรึกษาเรื่องเลี้ยงลูก หลังลูกสาวอายุ 4 ขวบ ถูกครูสั่งขึ้นไปบนเวทีในกิจกรรมกีฬาสีโรงเรียนแทนเด็กคนอื่น เพื่อให้แข่งใส่เสื้อผ้า โดยพบว่ามีการนำ เด็ก ๆ อายุ 4-5 ขวบ ทั้งชายหญิงขึ้นเวที แก้ผ้าเด็กชายล่อนจ้อน ผู้หญิงเหลือแต่กางเกงใน ต่อหน้าผู้ปกครอง นักการ และคนอื่น ๆ นับร้อย ซึ่งตนนั้นรู้สึกไม่สบายใจที่ลูกถูกจับแก้ผ้าออกเหลือแต่กางเกงในโดยไม่ได้แจ้งผู้ปกครอง จึงไปแสดงความไม่พอใจกับโรงเรียน กลายเป็นว่าตนเองกลับถูกกระแสกดดันจากกลุ่มคนที่ปกป้องโรงเรียน ระบุว่า Save คุณครู จึงคาใจว่าสรุปตนเองเป็นฝ่ายผิดเหรอที่ออกมาปกป้องสิทธิของลูก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพจเฟซบุ๊ก ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก เพจซึ่งมักให้แง่คิดและแง่มุมเกี่ยวกับครอบครัว นำเรื่องราวนี้มาช่วยตีแผ่ ระบุว่า อ่านแล้วช็อก คุณพ่อพาลูกไปเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แล้วมีกิจกรรมแข่งใส่เสื้อผ้า โดยให้เด็ก 4-5 ขวบ ถอดเสื้อผ้าทั้งหมด ให้เด็กชายล่อนจ้อน เด็กหญิงเหลือแต่กางเกงใน !!! ต่อหน้าครู ผู้ปกครอง และคนที่ทำงานทั้งหมดในโรงเรียน แล้วหัวเราะกันสนุกสนานกับเกมนี้ โดยที่ไม่มีใครคิดเลยว่า นี่ทำอะไรกันอยู่ !!!
คุณพ่อเล่าเพิ่มเติมว่าลูกสาวไม่ได้ถูกระบุให้เล่นเกมนี้ตั้งแต่แรก แต่หาเด็กที่จะเล่นเกมไม่เจอ เลยเอาลูกสาวขึ้นไปแทนโดยที่ไม่บอกกติกา จุดนั้นคุณแม่ตกใจมาก พูดอะไรไม่ทัน คุณพ่อไม่พอใจเลยไปคุยกับโรงเรียน คุยกับ ผอ. เรื่องคงไปถึงในไลน์กรุ๊ป และในกรุ๊ป คุณพ่อเขียนดีนะคะ ไม่ได้ด่ากราด เขียนว่ามันคือสิทธิเด็ก และไม่โอเคเลยแบบนี้ ครูขอโทษ และรอผลจากทาง ผอ. ผู้ปกครองที่อ่าน มีมาตอบกลับแบบจะเอาอะไรกันมากมาย เกมเล่นเพื่อความสนุก ไม่ใช่เพื่อให้อับอายซะหน่อย และก็ขึ้นแฮชแท็ก #SAVEครู กันใหญ่ คุณพ่อเลยมาถามว่า นี่เขาทำผิดเหรอ ?
ตอบให้ พ่อไม่ผิดค่ะ นาทีที่มาจับเด็กแก้ผ้าต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้ ในต่างประเทศครูโดนถูกจับ สถานที่นั้นควรโดนปิด ไล่ออกให้หมด แล้วไม่ให้ข้องเกี่ยวกับระบบการศึกษาอีก เพราะมันละเมิดสิทธิเด็กอย่างรุนแรง หากเคสนี้เกิดกับตนเองจะสู้จนตัวตาย
ปัญหาของคนที่ SAVE ครู คือเข้าใจสิทธิเด็กและเรื่องการสอนให้ลูกรู้จักปกป้องร่างกาย ในส่วนที่เป็น Private parts ไม่พอ คุณปล่อยให้เขาแก้ผ้าแก้ผ่อนในที่สาธารณะเพื่อความสนุก ? คุณไว้ใจได้ยังไงว่าคนอื่นจะมองเด็กอย่างเอ็นดู ไม่ใช่ความรู้สึกอื่น คุณจะรู้ได้ยังไง ว่าไม่มีใครถ่ายภาพลูกคุณไปลงในโซเชียลให้มี Digital footprint และจะไม่มีใครเซฟภาพไปใช้ทำอะไรไม่ดีต่อ คุณจะมั่นใจได้ยังไงว่า ลูก ๆ ของคุณจะเข้าใจว่าการถูกถอดเสื้อผ้าโดยคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง หรือพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ ได้มีโอกาสเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว คิดให้มันเยอะ ๆ ด้วย ไม่ใช่เอาสนุก แต่คิดถึงผลร้ายมากมายที่มัน "อาจจะ" เกิดขึ้นกับลูกที่เรารักด้วย
SAVE ผิดคนแล้วค่ะ SAVE ลูกตัวเองที่ขึ้นไปบนเวทีเถอะค่ะ ส่วนพ่อทำถูกค่ะ ชอบตรงที่เมื่อรู้สึกว่าไม่โอเค ก็เอาเรื่องไปคุยกับทางโรงเรียนทันที และน่าจะแจ้งความเรียบร้อยแล้วจากคอมเมนต์ที่พ่อตอบกลับ
ป.ล. ส่วนตัวเป็นคนไม่เห็นด้วยกับไลน์กรุ๊ปที่ครูมาคุยรวมกับผู้ปกครองเลยนะ ถ้าผู้ปกครองด้วยกันว่าไปอย่าง เผื่ออัปเดตงานอะไรในโรงเรียน แต่มีครูแล้วมาส่งภาพลูก มาคุยอะไรแบบนี้ ส่วนตัวไม่คิดว่ามันเป็นช่องทางที่ถูกต้อง เวลาจะติดต่อครู น่าจะเป็นการส่งอีเมล หรือโทร. คุยผ่านทางโรงเรียนมากกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์
