พยาบาลเอาบัตรประชาชนคนไข้ 680 คน ปลอมลายเซ็นไปกู้เงิน เหยื่อคาดหลุดตอนไปตรวจโควิด แจ้งความสาวแสบ พร้อมเอาผิด PDPA กับ รพ.

ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
จากกรณี น.ส.ธีรนันท์ อายุ 39 ปี พยาบาลโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ใน กทม. นำสำเนาบัตรประชาชนของผู้ป่วย 680 ใบ ไปปลอมลายเซ็นเพื่อกู้ยืมเงิน เฮียอ้วน เจ้าของเต็นท์รถ พร้อมหลอกว่า ผู้เสียหายที่มีข้อมูลบัตรประชาชนเหล่านี้คือลูกหนี้ เบื้องต้นพบว่า รายชื่อผู้กู้ทั้งหมดน่าจะเป็นผู้มาใช้บริการที่โรงพยาบาล จนเกิดข้อกังขาถึงความปลอดภัยในข้อมูลส่วนตัวของคนไข้ เพราะพยาบาลผู้ก่อเหตุไม่ได้อยู่เวชระเบียนที่ทำเกี่ยวกับเอกสาร แต่กลับมีเอกสารเหล่านี้หลุดออกมาและถูกนำไปก่อความเสียหาย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 14 มีนาคม 2567 ข่าวช่อง 3 รายงานว่า จากการสอบถามโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านพัฒนาการ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ น.ส.ธีรนันท์ ทำงานอยู่ ได้ข้อมูลว่า น.ส.ธีรนันท์ เป็นพยาบาลอยู่แผนก ER หรือ ฉุกเฉิน ทำงานมานาน 5-6 ปี แต่เพิ่งลาออกไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางผู้บริหารรับทราบเรื่องแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลและรายละเอียดว่า สำเนาบัตรประชาชนคนไข้หลุดออกไปได้อย่างไร

ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์

ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
นอกจากนี้ คุณนันท์ หนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งอยู่โรงพยาบาลเดียวกันกับ น.ส.ธีรนันท์ เล่าว่า เมื่อ 4-5 ปีก่อน เธอทำงานอยู่แผนกเดียวกันกับ น.ส.ธีรนันท์ และได้มีการกู้เงินอีกฝ่ายจริง จำนวน 20,000 บาท ซึ่งช่วงนั้น น.ส.ธีรนันท์ เคยพาเฮียอ้วน เจ้าของเต็นท์รถมาเจอ เคยกินข้าวและพูดคุยกันบ้างช่วงที่กู้เงิน จากนั้นไม่กี่เดือนก็มีการใช้เงินคืนจนหมดและไม่เคยกู้เงินกับ น.ส.ธีรนันท์ อีกเลย ต่อมาเธอได้ย้ายแผนก ทำให้เริ่มห่างกับอีกฝ่าย ไม่ได้สนิทสนมกันเหมือนก่อน
กระทั่งเธอได้รับการติดต่อจากเฮียอ้วนว่า มีการไปกู้เงินอีก 300,000 บาท ซึ่งเธอได้อธิบายกับเฮียอ้วนไปแล้วว่า ไม่ได้รู้เรื่องและไม่ได้เป็นคนกู้เงินดังกล่าว มาทราบภายหลังว่า น.ส.ธีรนันท์ ลาออกจากโรงพยาบาลแล้ว เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ส่วนนิสัยของอีกฝ่ายนั้น ก็ดูไม่ใช่คนมีนิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่งตัวธรรมดาและเป็นคนเรียบง่าย ไม่คิดว่าจะมีพฤติกรรมแบบนี้

ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
ในข้อบังคับสภาการพยาบาล ลักษณะความผิดที่เข้าข่ายของพยาบาลรายนี้ อยู่ในส่วนการปฏิบัติต่อผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการ ข้อที่ 11 ผู้ประกอบวิชาชีพ ต้องไม่หลอกลวงผู้ป่วย ให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน และข้อ 15 ผู้ประกอบวิชาชีพ ต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการ เว้นแต่ด้วยความยินยอมของผู้ป่วย แต่ทั้งหมดนี้ ต้องรอการสอบข้อเท็จจริงจึงจะสามารถสรุปว่าผิดข้อใดบ้าง

ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
ส่วนเรื่องของทางโรงพยาบาล ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนเพิ่มเติมก่อนจะแจ้งข้อหาเอาผิดกับโรงพยาบาล เพราะต้องมีหลักฐานชัดเจนว่า ข้อมูลหลุดและเกิดความบกพร่องจากโรงพยาบาลจริงหรือไม่