คนสงสัย แว่นท็อปเจริญ อยู่ได้ยังไง ผ่านไปแต่ละทีเห็นเงียบเหงา คนไม่เข้าร้าน พนักงานก็นั่งเล่นไปวัน ๆ แต่ไม่ยักกะมีทีท่าว่าจะเจ๊ง แถมขยายสาขาไปเรื่อย ๆ พอเห็นตัวเลขแล้วเข้าใจ มิน่าล่ะ....
ภาพจาก mysirikwan / Shutterstock.com
ร้านแว่นตาที่คนไทยคุ้นหูกันดีสุด ๆ คือแว่นท็อปเจริญ
ร้านแว่นตาห้างดังที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน
และรุกคืบเปิดสาขากันแทบจะทุกมุมถนน
แต่หลายคนที่ผ่านไปร้านแว่นท็อปเจริญเมื่อมองเข้าไปในร้าน
อาจจะเห็นพนักงานนั่งเฉย ๆ บ้าง จัดของบ้าง
แทบไม่เห็นลูกค้าที่เข้าในร้านเลย จนกลายคนก็เกิดความสงสัยว่า
ร้านแว่นท็อปเจริญอยู่ได้ยังไง เอากำไรจากไหนมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าพนักงาน
ทั้งที่ลูกค้าไม่เข้าร้าน แต่กลับอยู่ได้มานานและเปิดสาขาเป็นว่าเลย
โดยล่าสุด เว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้กลับมาเป็นกระทู้ฮอตฮิตอีกครั้ง กับคำถามที่ว่า "แว่นท็อปเจริญ ทำไมมีสาขามากมายขนาดนี้ ? ทั้ง ๆ ที่คนก็ไม่ค่อยจะเข้าร้านเท่าไหร่.." พร้อมกับที่มีคนเผยให้เห็นถึงต้นทุนโดยคร่าว ๆ ของร้านแว่นท็อปเจริญมาเช่าพื้นที่ขายหน้าหาดดังภูเก็ต ดังนี้
- ค่าเช่าร้าน 3 ชั้น 2 คูหา 130,000 บาทต่อเดือน
- ค่าไฟประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน
- พนักงานสาว 5 คน ช่างแว่น 1 คน ประมาณ 150,000 ต่อเดือน
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 15,000 บาทต่อเดือน
นั่นหมายความว่า แต่ละเดือนค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท แต่ร้านขายแว่นได้เกิน 300,000 บาท จริงหรือ
ทั้งนี้ เรื่องนี้ได้มีหลายคนเข้ามาให้ความคิดเห็นกับการที่แว่นท็อปเจริญยังอยู่ได้ ในสภาวะที่คนอาจจะไม่เห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้าน กล่าวคือ
- ต้นทุนราคากรอบแว่นที่ได้มาค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อมาขายจริงจะตั้งราคาให้สูงแล้วบอกลดราคา โดยมีการให้คอมมิชชั่นพนักงานเป็นแรงจูงใจให้พนักงานเชียร์ขายกรอบแว่นแบรนด์ที่ต้องการ และรวมไปถึงเลนส์
- แว่นท็อปเจริญควบคุมต้นทุนของตัวเองโดยการผลิตเลนส์และคอนแทคเลนส์เอง จึงสามารถตั้งราคาและทำกำไรได้เอง
- แว่นท็อปเจริญเป็นแบรนด์ดัง คนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ และมีสาขามาก และปัจจุบันคนก็หันมาใส่แว่นกันมากขึ้นเพราะสายตาสั้น ไม่รวมที่บางคนซื้อแว่นกันแดดใส่อีก
โดยล่าสุด เว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้กลับมาเป็นกระทู้ฮอตฮิตอีกครั้ง กับคำถามที่ว่า "แว่นท็อปเจริญ ทำไมมีสาขามากมายขนาดนี้ ? ทั้ง ๆ ที่คนก็ไม่ค่อยจะเข้าร้านเท่าไหร่.." พร้อมกับที่มีคนเผยให้เห็นถึงต้นทุนโดยคร่าว ๆ ของร้านแว่นท็อปเจริญมาเช่าพื้นที่ขายหน้าหาดดังภูเก็ต ดังนี้
- ค่าเช่าร้าน 3 ชั้น 2 คูหา 130,000 บาทต่อเดือน
- ค่าไฟประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน
- พนักงานสาว 5 คน ช่างแว่น 1 คน ประมาณ 150,000 ต่อเดือน
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 15,000 บาทต่อเดือน
นั่นหมายความว่า แต่ละเดือนค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท แต่ร้านขายแว่นได้เกิน 300,000 บาท จริงหรือ
คลายข้อสงสัย แว่นท็อปเจริญ อยู่ได้ยังไง พนักงานเยอะ คนไม่เข้าร้านเลย
ทั้งนี้ เรื่องนี้ได้มีหลายคนเข้ามาให้ความคิดเห็นกับการที่แว่นท็อปเจริญยังอยู่ได้ ในสภาวะที่คนอาจจะไม่เห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้าน กล่าวคือ
- ต้นทุนราคากรอบแว่นที่ได้มาค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อมาขายจริงจะตั้งราคาให้สูงแล้วบอกลดราคา โดยมีการให้คอมมิชชั่นพนักงานเป็นแรงจูงใจให้พนักงานเชียร์ขายกรอบแว่นแบรนด์ที่ต้องการ และรวมไปถึงเลนส์
- แว่นท็อปเจริญควบคุมต้นทุนของตัวเองโดยการผลิตเลนส์และคอนแทคเลนส์เอง จึงสามารถตั้งราคาและทำกำไรได้เอง
- แว่นท็อปเจริญเป็นแบรนด์ดัง คนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ และมีสาขามาก และปัจจุบันคนก็หันมาใส่แว่นกันมากขึ้นเพราะสายตาสั้น ไม่รวมที่บางคนซื้อแว่นกันแดดใส่อีก
ในขณะเดียวกัน TikTok man_khunman และ ลงทุนแมน ก็เคยพูดถึงวิธีการทำกำไรของแว่นท็อปเจริญ ไว้อย่างน่าสนใจ สรุปได้ดังนี้
- แว่นท็อปเจริญสามารถควบคุมต้นทุนแว่นได้น้อยมาก ถ้าราคาแว่น 100 บาท ต้นทุนแว่นแค่ 24 บาทเท่านั้น เมื่อเวลาที่เราเข้าแว่นท็อปเจริญ เราจึงได้เห็นพนักงานลดราคาแว่นได้อย่างน่าตกใจ บางทีทางร้านก็จัดโปรโมชั่นลด 70% หรือซื้อ 1 แถม 1 บ่อยครั้ง
- สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คือ เมื่อหักต้นทุนทั้งสิ่งของและคนแล้ว แว่นท็อปเจริญยังเหลือกำไรมากถึง 4% แทบจะเท่ากับกำไรของเซเว่นอีเลฟเว่น แม้ว่าจะขายต่อวันได้ไม่มากเท่า แต่ งานน้อยกว่า ใช้คนน้อยกว่า ต้นทุนต่ำกว่าเยอะ
- ต้นทุนที่แพงที่สุดของแว่นท็อปเจริญคือค่าดำเนินการ เช่น ค่าเช่าตึก ค่าพนักงาน ที่คิดเป็นอัตราถึง 72% แต่ที่แว่นท็อปเจริญยังสามารถไปต่อได้ เพราะห้างแว่นท็อปเจริญไม่มีการเปิดแฟรนไชส์ ต้นทุนจากทุกสาขาจึงสามารถนำมาหารเฉลี่ยกันและสามารถเอาเงินจากสาขาใหญ่ไปช่วยสาขาเล็กได้
- ร้านแว่นท็อปเจริญเน้นเปิดสาขามาก ต่อให้ขายได้แค่สาขาละ 1 อันต่อ 1 วัน แต่กำไรสุทธิเมื่อมาหารเฉลี่ยกันทุกสาขาแล้วยังเยอะมาก โดยมีการคาดการณ์ถึงกำไรสุทธิถึง 13,712,400 บาทต่อเดือน
- พื้นที่ในจุดที่จะขายของแว่นท็อปเจริญ ต้องอยู่ในแหล่งชุมชน คนเข้าถึงได้ง่าย และใช้วิธีการเช่าตึก ไม่ใช่การซื้อตึก ซึ่งหากสาขาไหนขายไม่ดี ก็เพียงแค่คืนตึกไปเปิดสาขาอื่นที่ใหม่ โมเดลเดียวกันกับเซเว่นอีเลฟเว่น
- แว่นท็อปเจริญสามารถควบคุมต้นทุนแว่นได้น้อยมาก ถ้าราคาแว่น 100 บาท ต้นทุนแว่นแค่ 24 บาทเท่านั้น เมื่อเวลาที่เราเข้าแว่นท็อปเจริญ เราจึงได้เห็นพนักงานลดราคาแว่นได้อย่างน่าตกใจ บางทีทางร้านก็จัดโปรโมชั่นลด 70% หรือซื้อ 1 แถม 1 บ่อยครั้ง
- สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คือ เมื่อหักต้นทุนทั้งสิ่งของและคนแล้ว แว่นท็อปเจริญยังเหลือกำไรมากถึง 4% แทบจะเท่ากับกำไรของเซเว่นอีเลฟเว่น แม้ว่าจะขายต่อวันได้ไม่มากเท่า แต่ งานน้อยกว่า ใช้คนน้อยกว่า ต้นทุนต่ำกว่าเยอะ
- ต้นทุนที่แพงที่สุดของแว่นท็อปเจริญคือค่าดำเนินการ เช่น ค่าเช่าตึก ค่าพนักงาน ที่คิดเป็นอัตราถึง 72% แต่ที่แว่นท็อปเจริญยังสามารถไปต่อได้ เพราะห้างแว่นท็อปเจริญไม่มีการเปิดแฟรนไชส์ ต้นทุนจากทุกสาขาจึงสามารถนำมาหารเฉลี่ยกันและสามารถเอาเงินจากสาขาใหญ่ไปช่วยสาขาเล็กได้
- ร้านแว่นท็อปเจริญเน้นเปิดสาขามาก ต่อให้ขายได้แค่สาขาละ 1 อันต่อ 1 วัน แต่กำไรสุทธิเมื่อมาหารเฉลี่ยกันทุกสาขาแล้วยังเยอะมาก โดยมีการคาดการณ์ถึงกำไรสุทธิถึง 13,712,400 บาทต่อเดือน
- พื้นที่ในจุดที่จะขายของแว่นท็อปเจริญ ต้องอยู่ในแหล่งชุมชน คนเข้าถึงได้ง่าย และใช้วิธีการเช่าตึก ไม่ใช่การซื้อตึก ซึ่งหากสาขาไหนขายไม่ดี ก็เพียงแค่คืนตึกไปเปิดสาขาอื่นที่ใหม่ โมเดลเดียวกันกับเซเว่นอีเลฟเว่น
ภาพจาก Top Charoen Optical-Official