เอ๋ ปารีณา น้ำตาคลอ เปิดใจเหตุเสียคุณพ่อ ทวี ไกรคุปต์-เผยที่มาหนี้กว่า 50 ล้าน

 

            เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ น้ำตาคลอ เปิดสาเหตุเศร้า สูญเสีย คุณพ่อทวี ไกรคุปต์ เปิดที่มาหนี้กว่า 50 ล้าน เหตุจากกู้เลี้ยงไก่ และกู้ให้ญาติ สุดท้ายต้องมาใช้หนี้เอง


เอ๋ ปารีณา

           วันที่ 26 เมษายน 2567 เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ ได้ออกมาเปิดใจครั้งแรก หลังสูญเสียคุณพ่อ "ทวี ไกรคุปต์" ไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมเปิดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ไม่เคยบอกคุณพ่อมาทั้งชีวิต อัปเดตคดีรุกป่า ศาลตัดสินต้องชดใช้เงิน กกต. กว่า 7.6 ล้านบาท และขอเคลียร์ใจหลังมีหนี้สินมากกว่า 50 ล้าน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ช่อง one31 ที่มี ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

เอ๋ ปารีณา


- อาการคุณพ่อก่อนเสียชีวิต เป็นเพราะอะไร ?

            เอ๋ ปารีณา : ด้วยวัย ความชราภาพ เป็นเรื่องปกติของผู้สูงวัยทุกท่านจะมีอาการเดียวกัน คุณพ่อเป็นคนแข็งแรง มีการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด มีการพบหมอเพื่อตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ แต่ทั้งนี้ความชราภาพก็ทำให้สิ่งต่าง ๆ ในร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ เบื้องต้นคุณพ่อล้มครั้งที่ 1 ในห้องน้ำ ล้มเล็กน้อย แต่ด้วยวัยก็ทำให้สะโพกหัก แต่ไม่มีอันตรายอะไร พอล้มครั้งที่ 2 คุณพ่อล้มในห้องน้ำเช่นเดียวกัน ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ปกติเอ๋กับคุณพ่อไม่คุยเล่นกันในโทรศัพท์ จะคุยธุระกันเท่านั้น แต่วันหนึ่งเรามีธุระกันมากกว่า 50 เรื่อง ก็เหมือนคุยกันทั้งวันอยู่แล้ว อยู่ดี ๆ ตอน 6 โมงเช้า เอ๋โทร. ไปหาคุณพ่อ อยากคุยเล่น คุณพ่อไม่รับ คุณพ่อโทร. กลับมาตอน 8 โมงเช้า ถามว่าใครครับ พอบอกว่าเอ๋ค่ะ ลูกมีอะไรไหม เอ๋บอกไม่มี พ่อก็บอกว่าแต่พ่อมี พ่อล้ม เอาเฮลิคอปเตอร์มารับพ่อด่วนเลย พ่อยังไม่อยากตาย เพราะเลือดเต็มเลย เอ๋ก็บอกว่าที่ไหน เขาบอกในห้องน้ำ เอ๋ก็บอกว่าอีก 5 นาที เดี๋ยวเอ๋โทร. กลับ เอ๋ก็โทร. หาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดไปรับคุณพ่อทันทีเพื่อส่งโรงพยาบาล ส่งไกลหน่อยที่ศิริราช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่คุณพ่อและเอ๋ไว้ใจ เอ๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยากให้การวินิจฉัยเป็นความสบายใจของเอ๋ด้วย ระหว่างการเดินทางคุณพ่อก็โทร. หาเอ๋เรื่อย ๆ จนถึงโรงพยาบาล ตอนนั้นเอ๋อยู่กาญจนบุรี ก่ออิฐทำเล้าไก่ ก็ขับรถไปโรงพยาบาลช้ากว่าทีมงานเอ๋ 30 นาที หมอก็ขอซีทีสแกน เอกซเรย์หลายอย่าง หลังมีการตรวจสอบทุกอย่าง ปรากฏว่าโหนกแก้มคุณพ่อหัก ก็เลยตรวจตาต่อ ไม่มีผลต่อการมองเห็น มีรูประมาณ 1 ซม. ที่สมอง ทำให้เลือดไหลทางสมองอยู่ คุณพ่อเลยขอให้แอดมิตอีก 1 วัน ถ้าเลือดหยุดไหลก็กลับบ้านได้ ถ้าไม่หยุดไหลก็ต้องดูต่อว่าจะรักษายังไง

เอ๋ ปารีณา

            ส่วนเรื่องหัวใจ ส่วนใหญ่คนเรามี 3 เส้น คุณพ่อเหลือเส้นเดียว แต่เส้นนี้แข็งแรงมาก ซึ่งสายไฟหัวใจมันขาดหมด ถามว่าจะทำยังไง หมอก็บอกว่าจะทำให้หัวใจเต้นช้าลงจนหยุดไป คุณพ่อก็บอกว่าแล้วมีวิธีอะไรไหม ก็ยังไม่มี เป็นเรื่องความชราภาพ แต่ตรวจอื่น ๆ แข็งแรงมาก มีหัวใจ อยู่ที่เวลา คุณพ่อบอกว่าไม่แน่ใจว่าลื่นหรือเป็นลมในห้องน้ำ เพราะผมระวังมาก ไม่น่าลื่น คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวฝังชิปในหัวใจเพื่อทำการบันทึกว่าเวลาที่ล้ม ครั้งต่อไปจะรู้เลยว่าเกิดจากหัวใจหรือเปล่า คุณพ่อบอกว่าฝังไปแล้วรักษาได้ไหม หมอบอกว่าไม่ได้รักษา แต่จะรู้ว่าสาเหตุมาจากตรงนี้หรือไม่ พ่อบอกว่าถ้ารักษาไม่ได้ไม่ทำ พ่อแก่แล้ว ห้ามเจาะ ห้ามผ่า ห้ามอะไรเลย อายุขนาดนี้แล้วอย่าทำ ถ้าผ่าแล้วเดี้ยงไป กลับมาเดินเหินไม่ได้ พ่อก็ไม่ค่อยอยากอยู่เท่าไหร่แล้ว ก็ห้ามทำ วันรุ่งขึ้นซีทีสแกนครั้งที่ 2 เลือดหยุดไหลก็กลับบ้าน ครั้งที่ 3 คุณพ่อก็ไปดูคนงานทุบบ้านเพื่อเตรียมขายที่ดินที่กรุงเทพฯ แล้วเกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ไม่มีอะไร กลับบ้านไป

            และครั้งสุดท้ายคือรอบนี้ เป็นรอบที่ 4 คุณพ่ออยู่บ้านพักที่สวนผึ้งแล้วเป็นลมไป คนอยู่รอบ ๆ พยายามปฐมพยาบาล เรียกรถพยาบาลทันที พอรถพยาบาลมาถึงก็มีการปั๊มหัวใจ ใส่เครื่องช่วยหายใจ นำส่งโรงพยาบาล พอถึงศิริราช ศิริราชบอกว่าต้องผ่าตัดเปิดกะโหลกเพื่อเอาเลือดออก มีเลือดคั่งในสมอง แต่คุณพ่อสั่งเอาไว้ว่าห้ามผ่า คุณหมอบอกว่าไม่ผ่าคือตายอย่างเดียว ก็เลยต้องผ่า พอผ่าเสร็จคุณหมอบอกว่าคุณพ่อมีสภาวะสมองตาย ถ้าครบ 24 ชม. ทางแพทยสภาถือว่าเป็นผู้เสียชีวิต สมองไม่ได้สั่งงาน ไม่ตอบสนองอะไร แต่คุณหมอบอกว่าด้วยเทคโนโลยีก็สามารถรักษาชีพจรขึ้นมา โดยการอัดยาเข้าไปต่าง ๆ เวลาความดันลด หัวใจจะหยุดเต้นก็อัดยากัน จนตอนหลังเตรียมทำใจแล้ว ก็บอกจะเอาคุณพ่อกลับบ้านแล้ว คุณหมอบอกว่าส่งเข้าบ้านไม่ได้ ต้องส่งระหว่างโรงพยาบาล เลยส่งไป รพ.ราชบุรี เพื่อให้ใกล้บ้าน แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน พอถึง รพ.ราชบุรี ปุ๊บ วันแรกที่มาถึงไม่ได้ให้ยาอะไรเลย จากให้ยาหนัก ๆ ชีพจรปกติมาก ๆ ก็อะเมซิ่ง ตกใจมาก คิดว่าคุณพ่อน่าจะฟื้นแล้วแหละ แต่คุณหมอที่ราชบุรีบอกว่าไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ เป็นการรออย่างเดียวแล้ว แต่ชีพจรเต้นดีโดยไม่ใช้ยากระตุ้นเลย ก็เป็นสภาพร่างกาย เพราะออกซิเจนมันเป่าอัดเข้าไปในหัวใจก็ดีขึ้น วันต่อมาก็เริ่มไม่ดีแล้ว และคุณพ่อก็จากไป

เอ๋ ปารีณา

- ถือว่าเราทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว ณ วินาทีที่รู้ว่าคุณพ่อไม่อยู่กับเราแล้ว ?

            เอ๋ ปารีณา :
ประมาณวันที่ 11 หัวใจก็แตกสลายค่ะ คือเราน่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำด้วยกันเยอะกว่านี้

- มีลางสังหรณ์ ?

            เอ๋ ปารีณา : คุณพ่อมีพฤติกรรมแปลกมาก คุณพ่อออกเดินทางเพื่อไปหาทุกคนเลย ไปหาแม้กระทั่งคนขับรถเก่าที่เขาออกไป เพราะเขามีงานที่ดีกว่านี้ ไปชวนคนสนิทเตรียมไปพัทยาหลังสงกรานต์ เพื่อไปดูอัลคาซ่า ไปหาคุณแม่ซึ่งหย่าร้างไปนานแล้ว ไปหาน้องชายที่อยู่ลพบุรี ไปนอนอยู่ 1 คืน ไปหาแม้กระทั่งสามีเก่าของเอ๋ คุณพ่อบอกว่าอยากไปให้กำลังใจค่ะ

 - เอ๋ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากคุณพ่อ ?

            เอ๋ ปารีณา : ใช่ค่ะ ตลอดระยะเวลาเลยที่ได้อยู่และไม่อยู่กับคุณพ่อ พอเป็น สส. จากได้ห้อย ๆ ตามไปก็ไม่ได้ห้อยแล้ว เพราะเราต้องประชุมสภา ไปเผาศพ เราจะเป็นทีมกัน ก็ทำให้ได้เจอกันน้อย แต่โทรศัพท์กัน

เอ๋ ปารีณา

- ไม่ได้บอกรัก แต่การกระทำคือรักมาก ?

            เอ๋ ปารีณา : ใช่ แม้แต่การเมืองคุณพ่อก็ไม่อยากให้เลิก คุณพ่อบอกว่ากว่าจะสอนมาได้ขนาดนี้ ทำไมเลิก อยากให้เล่น แต่เอ๋บอกว่าเอ๋ช้ำมาก เอ๋ขอพักผ่อน คุณพ่อก็ไม่ได้พูดอะไร เอ๋ไปทำเล้าไก่ คุณพ่อก็ขับรถไกล ๆ จากราชบุรีมากาญจนบุรี เพื่อมาดูเอ๋ก่อสร้าง คุณพ่อจะสอนด้วยวิธีก่อสร้าง ว่าทำยังไงให้ประหยัด ก็ตามมาช่วยเหลืออยู่ แต่ไม่ได้บอกรักเอ๋

 - น้อยใจไหม ?

            เอ๋ ปารีณา : วิธีการสอนของคุณพ่อจะมีคำพูดที่ไม่สุภาพ มีเสียงที่ดังเยอะ เป็นสไตล์ เพราะคุณพ่อก็ลูกชาวบ้าน แต่ขยันหมั่นเพียร สร้างเนื้อสร้างตัวจนได้เป็นรัฐมนตรี คุณพ่อจะเป็นคนขยันสุด ๆ ในการทำงาน เวลาสอนลูกแกก็จะสอนให้จดจำเข้าไปในหัวเลยค่ะ บางครั้งสอนมาก ๆ เราก็หนัก น้อยใจ แต่เราฟัง เพราะถ้าไม่ฟังเราไม่สามารถมาจุดนี้เลย

- อยากบอกอะไรท่าน ?

            เอ๋ ปารีณา : เอ๋รักพ่อค่ะ และคิดถึงพ่อ (เสียงสั่นน้ำตาคลอ)

เอ๋ ปารีณา

- เรื่องที่ศาลตัดสินให้ชดใช้ กกต. 7.6 ล้าน ?

            เอ๋ ปารีณา : ตอนนี้ก็เป็นคำพิพากษาชั้นต้น ก็ขอขยายเวลาการอุทธรณ์ครั้งที่ 1 อนุญาต พอดีไปดูแลคุณพ่อ จัดงานคุณพ่อ เลยขอขยายเวลาครั้งที่ 2 ยังไม่ทราบว่าจะอนุญาตหรือไม่ ถ้าไม่อนุญาตก็ยื่นอุทธรณ์วันที่ 11 พฤษภาคม นี้

- นอกจากคดีนี้แล้ว มีเรื่องราวหนี้สินอีกประมาณ 50 ล้าน ที่มาที่ไปมาจากไหน ?

            เอ๋ ปารีณา : มากกว่า 50 ล้านค่ะ ก็ต้องหาอาชีพค่ะ มันล้มละลายได้ แต่จะไม่ล้ม จะทำงานใช้

เอ๋ ปารีณา

- มันเริ่มจากไหน ?

            เอ๋ ปารีณา : เริ่มจากไปกู้เงินธนาคาร ธ.ก.ส. เพื่อเลี้ยงไก่ค่ะ กู้มา 23 ล้าน ตอนหลังคุณพ่อก็มาช่วยชำระให้ 5 ล้าน ก็เหลือ 17 ล้าน ต่อมาก็มีการกู้เงินนักการเมืองท่านหนึ่ง เป็นที่เคารพรักของครอบครัวเอ๋ เอ๋กู้ให้คนในครอบครัวอีกคนหนึ่ง พอถึงเวลาเราเป็นคนกู้ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งท่านก็เมตตาเอ๋มาก ไม่คิดดอกเบี้ย เพราะท่านรู้ว่าเอ๋ไม่ได้ใช้แม้แต่บาทเดียว แล้วมีเรื่อง กกต. เข้ามาอีกส่วนหนึ่ง

- ปกติมีคุณพ่อให้กำลังใจ พอถึงเวลานี้เหมือนเสาหลักจากไปแล้ว ให้กำลังใจตัวเองยังไง ?

            เอ๋ ปารีณา : ได้แต่ร้องไห้ (หัวเราะ) มันเป็นภาระที่เหมือนเราคนเดียวรับผิดชอบ แต่คุณพ่อก็มีทรัพย์สินเยอะ แต่เป็นประเภทที่ดินเยอะมาก แต่ไม่ใช่ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ฉะนั้นมันก็จะมีแค่ที่ดินผืนเดียว อันนี้แหละที่มีปัญหา เหมือนที่ดินผืนเดียวพังชีวิตไปเลย เราพยายามทำกินบนที่ดินต่าง ๆ ต่อไป

เอ๋ ปารีณา

- คดีอยากให้ไปในทิศทางไหน ?  

            เอ๋ ปารีณา : อยากได้รับความยุติธรรมค่ะ อะไรที่เราผิดเราจะสารภาพทันที แต่อะไรไม่ผิดก็จะสู้ถึงที่สุด และหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม และยังเชื่อมั่นในความยุติธรรมอยู่ค่ะ

- จากนี้วางแผนอนาคตยังไง ?

            เอ๋ ปารีณา : เอ๋อยากพักผ่อน และอยากเป็นเกษตรกรแบบคุณพ่อ อยากเลี้ยงไก่ ก่อสร้างเล้าไก่ให้เสร็จ ซึ่งที่นี่เอ๋ลงมือเอง ฉาบปูนเองด้วย (หัวเราะ) ก็ตั้งใจมาก อยู่กับลูกน้องเยอะ แต่อีกนานกว่าจะเสร็จ กำลังทำ เพื่อนบ้านก็เพิ่งสร้าง แต่เขาจะเสร็จแล้ว เขาเป็นเหมาจ้าง ของเราทำกันเอง ยกตัวอย่างคุณธัญญ่าสร้างบ้านก็จ่ายเป็นงวด แต่ทุนน้อยก็ทำเอง เขาก็คิดเป็นตารางเมตร ทำเองก็ถูก ก็ทำไปเรื่อย ๆ
            
            ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ YouTube Channel : Orange Mama




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เอ๋ ปารีณา น้ำตาคลอ เปิดใจเหตุเสียคุณพ่อ ทวี ไกรคุปต์-เผยที่มาหนี้กว่า 50 ล้าน อัปเดตล่าสุด 1 มิถุนายน 2567 เวลา 17:17:44 15,867 อ่าน
TOP
x close