ดราม่า โรงเรียนเรียกเข้าไปคุยเพราะเรื่องให้ลูกขี่คอ ด้าน รร. ชี้แจงอีกมุมเหมือนคนละเรื่อง ล่าสุดคุณพ่อเพจดังขอโทษ ปิดเพจชั่วคราว
กลายเป็นประเด็นดราม่าระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน กรณีวันที่ 12 มิถุนายน 2567 เพจเฟซบุ๊ก Tor Rungrojn ผู้ชายเลี้ยงลูก เพจบอกเล่าประสบการณ์ของคุณพ่อในการเลี้ยงลูก ซึ่งมีผู้ติดตาม 3.5 แสนคน โพสต์เรื่องที่คุณพ่อถูกโรงเรียนเรียกแบบงง ๆ ให้ไปพูดคุยเรื่องการให้ลูกขี่คอตอนที่คุณพ่อมาส่งลูก โดยทางโรงเรียนขอไม่ให้ทำแบบนี้อีก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก บางคนก็อยากทราบชื่อโรงเรียน จะได้ไม่ส่งลูกเข้าเรียน พร้อมกับต่อว่าโรงเรียนเสีย ๆ หาย ๆ หยุมหยิมจนน่าโมโห
ครูออกมาแจง เรียกพ่อมาพบ ไม่ใช่เรื่องให้ลูกขี่คอ สิ่งที่เกิดคือเด็กมีปัญหากับเด็ก ก็ต้องเรียกผู้ใหญ่มาจัดการ
จากโพสต์ดังกล่าว มีคุณครูเข้าไปคอมเมนต์ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาทางโรงเรียนเชิญเจ้าของเพจมา ด้วย 2 สาเหตุ ด้วยกัน คือ
1. เชิญมาเมื่อมีเรื่องระหว่างเด็กกับเด็ก ซึ่งเมื่อมีผู้ปกครองมาขอเคลียร์ คุณครูก็จะมาช่วยเป็นคนกลาง คอยรับฟังช่วยวิเคราะห์สาเหตุและเสนอทางแก้ปัญหา แต่โรงเรียนไม่สามารถเล่าว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะต้องเคารพสิทธิของเด็ก
2. โรงเรียนจะเชิญผู้ปกครองมาเพื่อมีการอบรมสัมมนาการเลี้ยงลูกตามแนวนีโอฮิวแมนนิส ซึ่งครูเองก็อยู่กับอาจารย์ด้วยตลอดการสัมมนาทุกครั้ง โรงเรียนยังไม่เคยเชิญเจ้าของเพจมาพบด้วยเรื่องการขี่คอแต่อย่างใด
ครูขอถามเจ้าของเพจว่าบทสนทนาที่เจ้าของเพจนํามาโพสต์เกิดขึ้นเมื่อใด การประชุมครั้งไหน และขอถามว่าบทสนทนา เป็นอย่างที่โพสต์จริงหรือไม่ กรุณาให้ความกระจ่างด้วย
โรงเรียนโต้พ่อเป็นชั้น ๆ หลังโดนด่า โรงเรียนเผด็จการ ที่ขอคุยคือขอให้พ่อหยุดเลี้ยงลูกแบบตามใจ ไม่ได้ห้ามขี่คอ
ต่อมา วันที่ 13 มิถุนายน โรงเรียนอมาตยกุล ได้ออกหนังสือชี้แจง ระบุว่า จากโพสต์ดังกล่าว โรงเรียนได้รับคําวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบมากมาย เราไม่เข้าใจว่าเจ้าของเพจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด และเขียนให้ผู้คนเข้าใจโรงเรียนผิดเพื่ออะไร เพียงแค่เริ่มจั่วหัวเรื่องว่า "เหมือนโดนตบหน้าชา.....รอบนี้ผมโดนเรื่องความเท่าเทียม..." พวกเราก็สงสัยและวิ่งถามกันทั่วโรงเรียนแล้วว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน เป็นมาอย่างไร อาจารย์ไปพูดอะไร เราเคยเชิญผู้ปกครองมาพบเรื่องความเท่าเทียมด้วยหรือ ทุกคนตอบว่าไม่มี "ไม่เคย"
- กรณีที่คุณพ่อบอกว่า เหมือนโดนตบหน้าชา ขนลุกทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง รอบนี้โดนเรื่องความเท่าเทียม โดนโรงเรียนเรียกไปปรับทัศนคติ เพราะชอบให้ลูกขี่คอ โดนเรียกไปพบผู้บริหารแบบงง ๆ
ทางโรงเรียนไม่ได้เห็นว่าการขี่คอเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะถ้าเราเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โต เราต้องเชิญมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว เพราะคุณพ่อให้ลูกขี่คอมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาขี่คอตอนนี้ และการที่เจ้าของเพจเขียนทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า เพราะให้ลูกขี่คอจึงโดนเรียกเข้าพบ ก็ไม่ใช่ความจริง เราเชิญมาด้วยเหตุอื่น ครูกุ้งก็แจ้งเหตุผลที่เชิญมาพบล่วงหน้าชัดเจนแล้วซึ่งไม่ใช่เรื่องขี่คอแน่นอน เมื่อรู้ล่วงหน้าเจ้าของเพจจึงไม่น่าใช่คำว่า "แบบงง ๆ"
- กรณีพ่อบอกว่า ลูกขี่คอผม ไม่ได้ขี่คอคนอื่น แต่ผู้บริหารบอกว่า เรื่องแบบนี้ไม่ปกติ น้องบอลลูนขี่คอคุณพ่อ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม ตอนคุณพ่อเป็นเด็ก คุณพ่อก็ขี่คอพ่อแม่ตัวเองเหมือนกัน
โรงเรียนสงสัยว่าบทสนทนานี้เกิดขึ้นตอนไหน และเป็นเรื่องจริงหรือ ? เราขอเล่าถึงการประชุมวันนั้นเท่าที่เล่าได้ อาจารย์เกียรติวรรณ ได้รับฟังปัญหาที่เกี่ยวกับลูกเจ้าของเพจมาหลายรอบ ฟังจากครูบ้าง จากผู้ปกครองโดยตรงบ้าง เพราะมีผู้ปกครองร้องเรียนมาจำนวนมากตลอดระยะเวลา 2 ปี
อาจารย์พยายามบอกเจ้าของเพจว่า เลี้ยงลูกให้ธรรมดาดีไหม อย่าทำอะไรให้เขาพิเศษมากนัก เลี้ยงให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อย่าให้ลูกเอาแต่ใจ จะได้อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของอาจารย์ที่จะแนะนำแบบตรงไปตรงมาที่โรงเรียนเราจะแจ้งชัดเจนว่า ครูจะไม่อุ้มถ้าไม่จำเป็น และขอร้องผู้ปกครองมาโดยตลอดว่าให้นักเรียนเดินมาเองกับผู้ปกครอง
โรงเรียนไม่เคยเชิญผู้ปกครองท่านใดมาพบด้วยเรื่องการขี่คอ อาจารย์ไม่ได้พูดถึงความเท่าเทียมหรือพาดพิงถึงบ้านอื่น แต่มุ่งไปที่การเลี้ยงลูกของเจ้าของเพจให้ไม่พิเศษและตามใจลูกมากเกินไป ไม่มีการพูดถึงคุณปู่คุณย่าคุณพ่อคุณแม่ตัวเล็ก ที่ให้ลูกหลานขี่คอไม่ได้
- กรณีพ่อถามว่า ตนทำร้ายเด็กคนอื่นอย่างไร แล้วผู้บริหารบอกว่า น้องบอลลูนขี่คอพ่อ เด็กคนอื่นก็อยากขี่คอพ่อบ้าง แต่ทำไม่ได้
ขอขยายความอีกนิด ในการประชุมวันนั้น มีประเด็นว่าเจ้าของเพจมีผู้ติดตามเยอะ โรงเรียนกลัวหรือไม่จึงไม่ทําอะไร อาจารย์จึงต้องอธิบายว่า เมื่อเข้ามาโรงเรียนนี้แล้วเหมือนกันทุกคน ไม่มีใครพิเศษเพราะฐานะหรือเพราะมีลูกเพจมาก ยกตัวอย่าง เรื่องของยูนิฟอร์มที่เหมือนกันทั้งโรงเรียน ไม่แบ่งแยกว่าเป็นครูหรือเจ้าหน้าที่ ส่วนครูกุ้งพูดว่าเราดูแลเด็ก ๆ ทุกคนเหมือนกัน ตรงนี้ไหมคะ ที่เจ้าของเพจเอาไปเชื่อมโยงถึงเรื่องการขี่คอและความเหมือนกัน (เท่าเทียม)
ทางโรงเรียนไม่สามารถเล่าได้ว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงเรียน มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเด็กบ้าง เพราะไม่เกิดผลดีกับเด็กเลย เจ้าของเพจสามารถกลับไปอ่านความคิดเห็นของครูในสมุดรายงานเล่มเหลืองได้
โรงเรียนส่งท้าย มุมมองของโรงเรียน ถ้าไม่พอใจโรงเรียน จะอยู่ไปทำไม - ให้เด็กเรียนต่อได้ แต่ห้ามทำโรงเรียนเสียหายอีก
มุมมองของโรงเรียน มีผู้ปกครองที่หวังดีกับโรงเรียนหลายท่าน เสนอให้โรงเรียนดําเนินการทางกฎหมาย หรือเชิญให้เจ้าของเพจนําลูกไปเรียนที่อื่น ทางโรงเรียนขอแสดงความเห็นและให้ข้อมูล ดังนี้
1. คุณครูในโรงเรียนจำนวนมากกําลังไม่สบายใจกับข้อความที่ไม่จริงหลายข้อความ ทำให้ครูหมดกำลังใจ
2. มีความจริงเบื้องลึกอีกหลายเรื่องราวที่ครูอยากพูด แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็ก เราจึงพูดไม่ได้
3. อยากบอกกับผู้ติดตามเพจนี้ว่า ควรพิจารณาดี ๆ ก่อนที่จะเชื่อเรื่องราวในเพจ
4. ที่ผ่านมามีโพสต์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องราวในโรงเรียนอยู่บ้าง เมื่อสอบถามรายละเอียดจากครูพบว่า บางครั้งไม่ใช่เรื่องจริง แต่โรงเรียนนิ่งและไม่ได้ทักท้วง
5. จากเหตุการณ์นี้ เจ้าของเพจสมควรต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบให้ชัดเจน และ ไม่โพสต์อะไรที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนอีก พวกเรามีงานต้องทํา มีความรับผิดชอบที่ต้องดูแลเด็ก ๆ มากพอแล้ว ไม่อยากเสียเวลา
6. โดยปกติแล้วผู้ปกครองที่รักโรงเรียน จะไม่ทําให้ครูเหนื่อยใจ เหนื่อยสมอง และผู้ปกครองที่รักเรา จะไม่ทําให้เราถูกต่อว่าฟรี
7. สงสัยว่าถ้าเจ้าของเพจโพสต์ ให้โรงเรียนดูไม่ดีอย่างนี้ แปลว่าไม่ได้พอใจโรงเรียน แล้วจะอยู่ด้วยกันไปทำไม
8. โรงเรียนยังยินดีให้ศึกษาต่อ ถ้าเจ้าของเพจสัญญาว่าจะไม่ทําให้โรงเรียนเสียหายอีก