ร้านคาเฟ่ตะลึง ลูกค้าให้ทิปสาวเสิร์ฟ 1 แสน อยากทำความดีตามเทรนด์ แต่เรื่องจบไม่สวย อึ้งลูกค้าโต้แย้งการจ่ายเงินทีหลัง ไล่ร้านฟ้องร้องเอง หลังควักเนื้อจ่ายทิปให้เด็กไปแล้ว
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
ในขณะที่ผู้คนมากมายและกิจการต่าง ๆ เผชิญกับความยากลำบาก มันจึงเป็นเรื่องราวดี ๆ เมื่อได้พบกับคนใจกว้างที่ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่เป็นกิจการร้านเล็ก ๆ ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ ก็รู้สึกตื้นต้นใจเช่นกันเมื่อได้เจอลูกค้าใจกว้างที่มอบทิปก้อนโตแก่เด็กเสิร์ฟในร้าน เป็นจำนวนเงินถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 110,000 บาท) แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้จบสวยแบบที่คิด
เรื่องราวดังกล่าวถูกนำมาบอกเล่าผ่านเว็บไซต์ Unilad เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 โดยเปิดเผยว่า ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ร้านอาหารและคาเฟ่ชื่อ Alfredo’s Cafe ในเมืองสแครนตัน ต้องเจอเรื่องตกตะลึง เมื่อชายคนหนึ่งเข้ามารับประทานอาหารในร้าน ก่อนจะให้ทิปพนักงานเสิร์ฟจำนวน 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ลูกค้ารายนี้ชื่อ เอริค สมิธ ในวันนั้นเขาสั่งเมนูสตรอมโบลี่ ซึ่งมีค่าอาหารมื้อนั้นเพียง 13.25 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 480 บาท) เท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน เขาก็ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งด้วยการเขียนเงินค่าทิปให้แก่พนักงานเสิร์ฟของเขา จำนวน 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
มาเรียน่า แลมเบิร์ต พนักงานเสิร์ฟผู้โชคดี ยอมรับว่าเธอรู้สึกตื้นตันอย่างมากเมื่อได้เห็นว่าลูกค้าใจกว้างขนาดไหน มันมีความหมายกับเธอมากจริง ๆ เพราะทุกคนล้วนผ่านเรื่องราวมากมายกันมา
"ฉันตื้นตันใจมาก ฉันยังไม่อยากเชื่อ และยังช็อกอยู่เลยค่ะ" แลมเบิร์ต เผยกับสื่อหลังจากนั้น
เพื่อทำให้มั่นใจว่าการให้ทิปดังกล่าวไม่ใช่ความผิดพลาดหรือเรื่องเข้าใจผิด แมตต์ มาร์ตินี ผู้จัดการร้านจึงเข้าไปยืนยันความถูกต้องกับสมิธ ซึ่งลูกค้ารายนี้ก็อธิบายว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการทำเรื่องดังกล่าวมาจากเทรนด์ในโซเชียลมีเดีย และตัดสินใจจะมอบทิปก้อนนี้หลังได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นใจพนักงานเสิร์ฟของเขา
แต่แม้ทางผู้จัดการได้พยายามยืนยันกับลูกค้าแล้วว่าการให้ทิปนี้ไม่ใช่ข้อผิดพลาด
แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาสถานการณ์ก็พลิกผัน
เมื่อทางร้านได้รับจดหมายแจ้งว่าลูกค้ารายดังกล่าว
ได้ยื่นโต้แย้งเรื่องการเรียกเก็บเงินค่าทิปดังกล่าวจากบริษัทบัตรเครดิต
และต้องการเงินจำนวนนั้นคืน
ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านั้นคือ ทางร้านได้จ่ายเงินค่าทิปจำนวนนั้นให้แก่แลมเบิร์ตไปแล้ว นั่นหมายถึงเงินจำนวนดังกล่าวคือเงินที่ร้านต้องควักเนื้อจ่ายเอง โดยไม่ได้รับเงินใด ๆ จากลูกค้าเจ้าปัญหา
หลังเกิดเรื่อง ทางร้านได้พยายามติดต่อกับลูกค้ารายนี้ผ่านเฟซบุ๊กของเขา แต่สมิธกลับเมินเฉย ไม่ยอมตอบกลับข้อความมากมายที่ทางร้านส่งไปหา จนเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 3 เดือน ทางร้านจึงตัดสินใจที่จะยื่นฟ้องคดีทางแพ่งกับลูกค้ารายนี้ เพื่อหวังจะได้เงินจำนวนดังกล่าวคืน
จาค็อบสัน หนึ่งในคนดูแลร้าน กล่าวว่า เขาจำได้ว่าตอนนั้นเรายังคิดว่ามีคนพยายามทำเรื่องดี ๆ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มันโชคร้ายที่ทางร้านจำเป็นต้องยื่นฟ้องผ่านสำนักงานผู้พิพากษา เพราะตอนนี้พวกเขาหมดเงินกันแล้ว และลูกค้าก็บอกให้เราไปฟ้องเอา สุดท้ายจึงต้องลงเอยแบบนี้
หลังทราบถึงสถานการณ์ที่ทางร้านเผชิญ สมาชิกในชุมชนรอบ ๆ ร้านคาเฟ่จึงเริ่มตั้งเพจระดมทุนเพื่อให้การสนับสนุนธุรกิจของทางร้าน อย่างไรก็ตาม ทางร้านปฏิเสธที่จะรับเงินสดของผู้คน ทำให้การระดมทุนดังกล่าวปิดตัวไป ขณะที่คดีความดังกล่าวนั้นเงียบไป โดยไม่มีข้อมูลความคืบหน้าแม้เรื่องจะผ่านมานานเกือบ 2 ปีแล้วก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก Unilad
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
เรื่องราวดังกล่าวถูกนำมาบอกเล่าผ่านเว็บไซต์ Unilad เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 โดยเปิดเผยว่า ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ร้านอาหารและคาเฟ่ชื่อ Alfredo’s Cafe ในเมืองสแครนตัน ต้องเจอเรื่องตกตะลึง เมื่อชายคนหนึ่งเข้ามารับประทานอาหารในร้าน ก่อนจะให้ทิปพนักงานเสิร์ฟจำนวน 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ลูกค้ารายนี้ชื่อ เอริค สมิธ ในวันนั้นเขาสั่งเมนูสตรอมโบลี่ ซึ่งมีค่าอาหารมื้อนั้นเพียง 13.25 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 480 บาท) เท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน เขาก็ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งด้วยการเขียนเงินค่าทิปให้แก่พนักงานเสิร์ฟของเขา จำนวน 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
มาเรียน่า แลมเบิร์ต พนักงานเสิร์ฟผู้โชคดี ยอมรับว่าเธอรู้สึกตื้นตันอย่างมากเมื่อได้เห็นว่าลูกค้าใจกว้างขนาดไหน มันมีความหมายกับเธอมากจริง ๆ เพราะทุกคนล้วนผ่านเรื่องราวมากมายกันมา
"ฉันตื้นตันใจมาก ฉันยังไม่อยากเชื่อ และยังช็อกอยู่เลยค่ะ" แลมเบิร์ต เผยกับสื่อหลังจากนั้น
เพื่อทำให้มั่นใจว่าการให้ทิปดังกล่าวไม่ใช่ความผิดพลาดหรือเรื่องเข้าใจผิด แมตต์ มาร์ตินี ผู้จัดการร้านจึงเข้าไปยืนยันความถูกต้องกับสมิธ ซึ่งลูกค้ารายนี้ก็อธิบายว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการทำเรื่องดังกล่าวมาจากเทรนด์ในโซเชียลมีเดีย และตัดสินใจจะมอบทิปก้อนนี้หลังได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นใจพนักงานเสิร์ฟของเขา
ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านั้นคือ ทางร้านได้จ่ายเงินค่าทิปจำนวนนั้นให้แก่แลมเบิร์ตไปแล้ว นั่นหมายถึงเงินจำนวนดังกล่าวคือเงินที่ร้านต้องควักเนื้อจ่ายเอง โดยไม่ได้รับเงินใด ๆ จากลูกค้าเจ้าปัญหา
หลังเกิดเรื่อง ทางร้านได้พยายามติดต่อกับลูกค้ารายนี้ผ่านเฟซบุ๊กของเขา แต่สมิธกลับเมินเฉย ไม่ยอมตอบกลับข้อความมากมายที่ทางร้านส่งไปหา จนเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 3 เดือน ทางร้านจึงตัดสินใจที่จะยื่นฟ้องคดีทางแพ่งกับลูกค้ารายนี้ เพื่อหวังจะได้เงินจำนวนดังกล่าวคืน
จาค็อบสัน หนึ่งในคนดูแลร้าน กล่าวว่า เขาจำได้ว่าตอนนั้นเรายังคิดว่ามีคนพยายามทำเรื่องดี ๆ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มันโชคร้ายที่ทางร้านจำเป็นต้องยื่นฟ้องผ่านสำนักงานผู้พิพากษา เพราะตอนนี้พวกเขาหมดเงินกันแล้ว และลูกค้าก็บอกให้เราไปฟ้องเอา สุดท้ายจึงต้องลงเอยแบบนี้
หลังทราบถึงสถานการณ์ที่ทางร้านเผชิญ สมาชิกในชุมชนรอบ ๆ ร้านคาเฟ่จึงเริ่มตั้งเพจระดมทุนเพื่อให้การสนับสนุนธุรกิจของทางร้าน อย่างไรก็ตาม ทางร้านปฏิเสธที่จะรับเงินสดของผู้คน ทำให้การระดมทุนดังกล่าวปิดตัวไป ขณะที่คดีความดังกล่าวนั้นเงียบไป โดยไม่มีข้อมูลความคืบหน้าแม้เรื่องจะผ่านมานานเกือบ 2 ปีแล้วก็ตาม
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก Unilad