คนจีนนำทุเรียนไปปลูกแล้วที่จีน ล่าสุดผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาด ทุเรียนจากไห่หนานขายได้ที่กิโลกรัมละ 1,000-10,000 บาท ด้านผู้เชี่ยวชาญออกมาวิเคราะห์ ล้งทุเรียนไทย จะถึงคราวดับสูญไหม
วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 เว็บไซต์ thestar รายงานว่า อีกไม่นาน นายจาง หมิงหมิง อายุ 35 ปี เจ้าของสวนทุเรียนในเขตเป่าติง บนเกาะไหหนาน ประเทศจีน จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนของเขาเอง โดยทุเรียนที่เขาปลูกนั้นคือทุเรียนพันธุ์ก้านยาวของไทย มีราคาขายที่กิโลกรัมละ 200 หยวน (ประมาณ 1,000 บาท) และหากทุกอย่างราบรื่นเป็นไปได้ด้วยดี นายจางจะมีรายได้กว่า 700,000 หยวน (ประมาณ 3.5 ล้านบาท) เมื่อหมดหน้าเก็บเกี่ยวทุเรียนในช่วงเดือนกันยายน
นายจางไม่หยุดแค่การปลูกทุเรียนก้านยาวเท่านั้น แต่เขายังปลูกทุเรียนพันธุ์มูซานคิงและทุเรียนหนามดำของมาเลเซีย ที่จะให้ผลผลิตใน 1-2 ปีนี้ โดยทุเรียนเหล่านี้สามารถเอาไปขายทำตลาดของพรีเมียมได้ ทุเรียนบางพันธุ์สามารถขายได้ถึงกิโลกรัมละ 2,000 หยวน (ประมาณ 10,000 บาท) เลยทีเดียว
ในตอนนี้ทั่วมณฑลไห่หนาน เกษตรกรอย่างนายจางได้หันมาปลูกทุเรียนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แม้ว่าจะไม่ใช่ของท้องถิ่นดั้งเดิม ธุรกิจการปลูกทุเรียนกำลังบูมและทำกำไรกันหนัก ผู้บริโภคชาวจีนชอบกินผลไม้ และในปี 2023 ได้มีการนำเข้าทุเรียนจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 1.4 ล้านตัน หรือกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมด แต่ในปี 2024 ซึ่งถือเป็นปีที่ 2 ที่ทุเรียนที่ปลูกที่จีนเริ่มออกสู่ตลาดทั้งพันธุ์หมอนทองจนถึงมูซานคิง แต่คนจีนกลับได้ลิ้มรสทุเรียนจีนน้อยมาก อันเนื่องมาจากผลผลิตน้อยและต้นทุนที่สูง จึงทำให้คนจีนจำนวนมากเข้าไม่ถึงทุเรียนจีน
ในปี 2023 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนที่ปลูกในจีน สามารถเก็บเกี่ยวทุเรียนไปได้กว่า 50 ตัน และในปี 2024 คาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 200 ตัน แต่ถึงกระนั้นผลผลิตที่ได้ยังถือว่าน้อยอยู่มาก เนื่องจากเพิ่งปลูกต้นทุเรียนไปได้ไม่นาน กว่าที่ต้นทุเรียนจะให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่ต้องใช้เวลาถึง 6-7 ปี
นอกจากนี้ มณฑลไห่หนานยังต้องเจอกับพายุไต้ฝุ่นอยู่เป็นประจำ นายจาง บอกว่า ตอนช่วงเดือนพฤษภาคม เขาคาดว่าจะมีทุเรียนออกลูกกว่า 3,000 ลูก แต่หลังจากนั้นก็เกิดฝนตกหนัก ทำให้ทุเรียนร่วงจนเหลือแค่ 1,000 ลูก และไม่ใช่แค่เรื่องของผลผลิตที่ออกมาสู่ตลาดน้อยเท่านั้น ยังมีเรื่องของคุณภาพทุเรียนที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทุเรียนจากไห่หนานในตอนนี้มีคุณภาพที่แตกต่างกันสุดขั้ว มีทั้งทุเรียนที่อร่อย แต่ก็เป็นส่วนน้อย และทุเรียนส่วนใหญ่ยังรสชาติไม่ดี
นายจาง บอกอีกว่า ผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวครั้งแรกของเขาในปี 2022 นั้น ทุเรียนจืดสนิท ไม่มีรสชาติใด ๆ และเขาต้องใช้การปรับปรุงสูตรปุ๋ยก่อนที่รสชาติของผลผลิตในปีต่อมาจะดีขึ้นทันตาเห็น ตอนนี้ทุเรียนที่ปลูกในจีนยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลอง ทั้งที่ต้องศึกษาและทดลองเทคนิคการปลูกใหม่ ๆ ให้เข้ากัน ซึ่งนายจางก็เรียนรู้วิธีการปลูกทุเรียนนี้จากเพื่อนของครอบครัวที่เป็นชาวสวนทุเรียนในมาเลเซีย
ในขณะที่นายอ้าย ตง ซึ่งเป็นพ่อค้าขายทุเรียนในตลาดค้าส่งในปักกิ่ง เผยว่า ราคาทุเรียนไห่หนานแพงมาก ขายไม่ได้ ทุเรียนไห่หนานครึ่งกิโลกรัมตกอยู่ที่ 60 หยวน (300 บาท) แต่ทุเรียนจากไทย ครึ่งกิโลกรัมราคาแค่ 20-30 หยวน (100-150 บาท) เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นายเฝิง ซู่จี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร กล่าวว่า แม้จะมีการคาดการณ์กันว่าทุเรียนที่ปลูกในจีนจะออกผลผลิตมากขึ้น เนื่องมาจากมีเกษตรกรหันมาปลูกทุเรียนกันเยอะและต้นทุเรียนที่ปลูกก็โตเต็มที่ แต่ทุเรียนที่ปลูกในจีนยังไม่สามารถที่จะพัฒนาไปสู่การผลิตขนาดใหญ่ได้ อันเนื่องมาจากการที่จะปลูกทุเรียนให้ดี เกษตรกรต้องเอาใจใส่ในต้นทุเรียนอย่างมาก ทุเรียนต้องการดินเฉพาะ และต้องอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่ดี จึงจะสามารถโตได้อย่างเต็มที่
"มีแค่ไม่กี่ที่ในจีนที่สามารถปลูกทุเรียนได้ และเราติดข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ในการปลูก" แม้ว่าจีนจะสามารถปลูกทุเรียนได้ในไห่หนาน แต่ต้นทุเรียนจะโตได้ก็เฉพาะทุเรียนที่ปลูกทางตอนใต้เท่านั้น อีกทั้งชาวจีนยังชื่นชอบการกินผลไม้เป็นอย่างมาก จึงมีการคาดการณ์ว่า ทุเรียนที่ปลูกในจีนนั้นจะไม่ส่งผลต่อยอดขายของทุเรียนที่มาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุเรียนจีนทำได้แค่เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปของทุเรียนที่นำเข้ามาเท่านั้น
ในปี 2023 จีนได้นำเข้าทุเรียนกว่า 929,000 ตัน จากไทย, 493,000 ตัน จากเวียดนาม และ 3,763 ตัน จากฟิลิปปินส์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 244,000 ล้านบาท และอีกไม่นานจีนจะนำเข้าทุเรียนจากมาเลเซียเข้ามาขายในประเทศ หลังจากที่นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ได้มาเยือนมาเลเซียเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยที่มาเลเซียจะสามารถส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งลูกและสินค้าจากทุเรียนไปที่จีนได้เท่านั้น
"เรายังไม่สามารถสู้กับทุเรียนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ปริมาณได้ ทั้งเรื่องพื้นที่เพาะปลูก ทั้งเรื่องค่าแรงที่สูงกว่าในจีน ดังนั้น เราจึงมองไปที่ตลาดไฮเอนด์ ตลาดทุเรียนคุณภาพสูงแทน"