แกะรอยเส้นทางก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งกำเนิดชั้นใต้ดินไปสู่การใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ก๊าซธรรมชาติ แม้จะเกิดมาจากซากฟอสซิลที่มีอายุนับร้อยล้านปี แต่ทว่ากลับสร้างมูลค่าได้มากกว่าแค่เป็นเชื้อเพลิง ต่อยอดสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนในปัจจุบันได้มากมาย วันนี้เราเลยอยากจะพาไปทำความรู้จักกับเชื้อเพลิงชนิดนี้กันให้มากขึ้น ตั้งแต่ที่มา รวมถึงการนำไปใช้งานในด้านต่าง ๆ มากกว่าที่เราคิด
จุดกำเนิดก๊าซธรรมชาติ

ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ได้มาจากฟอสซิลที่ทับถมและตกตะกอนแทรกซึมอยู่ตามชั้นหินหรือชั้นดิน แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสารอินทรีย์เป็นปิโตรเลียม มีก๊าซหลายชนิดประกอบเข้าด้วยกัน โดยแบ่งตามแหล่งกำเนิดได้ดังนี้
- Conventional Gas : แหล่งก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิม อยู่ในโพรงชั้นหิน สามารถขุดเจาะมาใช้ประโยชน์ได้ง่าย ก๊าซในอ่าวไทย (Gulf Gas) แม้จะอยู่ในโพรงชั้นหิน แต่เป็นโพรงกระเปาะเล็ก ๆ จึงมีต้นทุนในการผลิตที่สูงกว่าแหล่งก๊าซที่อยู่ในโพรงชั้นหินขนาดใหญ่ เช่น ตะวันออกกลาง เมียนมา และมาเลเซีย
- Unconventional Gas : แหล่งก๊าซธรรมชาติที่ในอดีตไม่มีเทคโนโลยีเพียงพอที่จะขุดเจาะเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้นำก๊าซธรรมชาติจากจุดนี้มาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น
- Shale Gas : ก๊าซธรรมชาติที่พบในชั้นหินดินดาน ต้องใช้วิธีขุดเจาะแบบแนวราบ (Horizontal Drilling) เพื่อช่วยเพิ่มผิวสัมผัสระหว่างหลุมเจาะกับชั้นหินควบคู่ไปกับวิธีทำให้แตกทางไฮดรอลิก
- Coalbed Methane : ก๊าซธรรมชาติที่พบในชั้นถ่านหิน มีก๊าซมีเทนเป็นองค์ประกอบหลัก
- Tight Gas : ก๊าซธรรมชาติที่พบในชั้นหินทราย หรือหินไลม์สโตน ซึ่งก๊าซซึมผ่านได้ยาก
ประเภทก๊าซธรรมชาติ

เนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีทั้งก๊าซและสารเจือปนหลายประเภทประกอบเข้าด้วยกัน ดังนั้นเลยมีการจำแนกประเภทของก๊าซธรรมชาติ 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 : จำแนกตามปริมาณของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
- Dry Gas หรือ ก๊าซแห้ง
ก๊าซธรรมชาติที่มีก๊าซมีเทนเป็นองค์ประกอบหลัก สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG (Liquefied Natural Gas) ได้ นำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเมทานอล ปุ๋ยไนโตรเจน แอมโมเนีย
- Wet Gas หรือ ก๊าซเปียก
ก๊าซธรรมชาติที่มี อีเทน (C2H6), โพรเพน (C3H8), บิวเทน (C4H10), เพนเทน (C5H12) ฯลฯ รวมอยู่กับ มีเทน (CH4) เมื่อนำไปผ่านกระบวนการแยกก๊าซในโรงแยกก๊าซก่อนเพื่อแยกสารประกอบเหล่านั้นออกจากกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่
- ก๊าซอีเทน (C2H6) ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น สามารถนำไปใช้ผลิตเม็ดพลาสติกพอลิเอทิลีน (PE) เส้นใยพลาสติกชนิดต่าง ๆ เพื่อนำไปแปรรูปต่อไป
- ก๊าซโพรเพน (C3H8) ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเม็ดพลาสติกพอลิโพรพิลีน (PP) เพื่อผลิตภาชนะบรรจุอาหารหรือถุงใสใส่อาหารที่สามารถใช้กับไมโครเวฟได้ ยางสังเคราะห์ กาว หม้อแบตเตอรี่
- ก๊าซบิวเทน (C4H10) ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเติมแต่ง เพื่อเพิ่มค่าออกเทนในน้ำมัน ยางสังเคราะห์ และพลาสติกเอบีเอส
- ก๊าซโพรเพน (C3H8) และก๊าซบิวเทน (C4H10) หากนำก๊าซ 2 ชนิดมาผสมกัน และอัดใส่ถัง จะได้เป็น Liquefied Petroleum Gas (LPG) หรือที่เรียกว่า ก๊าซหุงต้ม สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ และใช้ในการเชื่อมโลหะ รวมทั้งยังนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทได้อีกด้วย
- ก๊าซโซลีนธรรมชาติ (Natural Gasoline) ประกอบด้วยเพนเทน (C5H12) และเฮกเซน (C6H14) เป็นองค์ประกอบหลัก โดยจะอยู่ในสถานะของเหลวที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ สามารถส่งเข้าไปยังโรงกลั่นน้ำมันเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของน้ำมันสำเร็จรูป และยังเป็นตัวทำละลาย ซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภทได้เช่นกัน
- องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อผ่านกระบวนการแยกแล้วจะถูกนำไปทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง เรียกว่าน้ำแข็งแห้ง นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมน้ำอัดลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่างการขนส่ง นำไปเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำฝนเทียม และนำไปใช้สร้างควันในอุตสาหกรรมบันเทิง อาทิ การแสดงคอนเสิร์ต หรือการถ่ายทำภาพยนตร์
สำหรับก๊าซจากอ่าวไทย (Gulf Gas) มีคุณลักษณะเป็น Wet Gas ประเทศไทยจึงมีโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสร้างการจ้างงาน และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าการเผาใช้เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น
กลุ่มที่ 2 : จำแนกตามสารเจือปนในก๊าซธรรมชาติ
- Sweet Gas หรือ ก๊าซหวาน
ก๊าซธรรมชาติที่มีส่วนประกอบของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (ก๊าซไข่เน่า) อยู่น้อยมากหรือไม่มีเลย
-
Sour Gas หรือ ก๊าซเปรี้ยว
ก๊าซธรรมชาติที่มีส่วนประกอบของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ มีฤทธิ์เป็นกรดที่ถือเป็นอันตราย เพราะสามารถกัดกร่อนอุปกรณ์ขุดเจาะและผลิตก๊าซธรรมชาติได้ สำหรับก๊าซจากอ่าวไทยส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น Sour Gas โดยมีก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ประมาณ 50 ppm
โดยสรุป ก๊าซในอ่าวไทย คือ Wet Sour Conventional Gas จึงสามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการแยกสารประกอบต่าง ๆ มากกว่าใช้เผาเป็นเพียงเชื้อเพลิง แต่ต้องมีต้นทุนสูงกว่าในการปรับปรุงคุณภาพจากที่มีก๊าซไข่เน่าและลักษณะแหล่งก๊าซที่เป็นกระเปาะเล็ก รวมทั้งทุกกระบวนการสำรวจและผลิตต้องใช้ทั้งเวลา เทคโนโลยี และเม็ดเงินมหาศาล ดังนั้น ในการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุดจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับประชาชน และสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก : บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และสถาบันวิทยาการพลังงาน