เภสัชกรโรงพยาบาลดัง ตัดสินใจลาโลก หลังจากที่เจอที่ทำงานเป็นพิษ ทั้งโดนหัวหน้าตำหนิกลางไลน์ โดนกดดันให้ลาออกเพราะเรื่องขายเวร พร้อมคำสั่งลาสุดท้าย แค่คิดว่าจะไปทำงานก็เหนื่อยแล้ว
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว เผยว่า เภสัชกรคนหนึ่งจากโรงพยาบาลชื่อดัง และอดีตศิษย์เก่า ม.ขอนแก่น ได้ก่อเหตุฆ่าตัวตาย หลังจากที่เผชิญกับความกดดันในที่ทำงาน โดยเฉพาะจากคนที่เป็นหัวหน้างาน
โดยที่พบว่า ได้มีแชตจากหัวหน้างานที่ส่งมาให้เภสัชกรคนนี้ นับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 โดยในช่วงแรก เหมือนกับว่าหัวหน้าจะยื่นข้อเสนอให้เภสัชกรไปทำงานในคลังยา เพราะหัวหน้าเห็นว่าเภสัชกรขายเวรให้เพื่อนมากเกินไป หากทำงานที่คลังยาจะเป็นเวรสั้น ไม่มีกะดึก มีวันหยุดที่แน่นอนกว่า และจะได้ไม่ลำบากใจที่ต้องมาเป็นลูกน้อง แต่ทางเภสัชกรได้ขอโทษ และบอกว่าเรื่องขายเวรนั้น ได้คุยกับที่รับซื้อเวรไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ได้มีการขายเวรเพิ่ม หรือติดต่อไปขายเวรเพิ่มแต่อย่างใด แต่ทางหัวหน้าบอกว่า "ไม่เกี่ยวกับการขายเวรครับ"
ในอีกแชตหนึ่ง หัวหน้าก็พูดประเด็นเรื่องการขายเวรอีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การบอกให้เภสัชกรย้ายไปทำงานอื่น แต่เป็นการบอกให้ลาออก ซึ่งหัวหน้างานบอกว่าเป็นห่วง ไปพักผ่อนจิตใจดีกว่า การฝืนอยู่ไม่ช่วยอะไร ถ้าต้องขายเวรขนาดนี้ ให้พักผ่อนจิตใจให้มีความสุขจะดีกว่า สงสารคนอื่น ๆ ที่ต้องมารับเวรแทน และเภสัชกรก็ดูไม่มีใจจะทำงานแล้ว หรือถ้าไม่อยากทำงานนี้แล้ว จะลาไปเที่ยวหรือพักผ่อนจิตใจดูก็ได้ ดีกว่าที่จะต้องฝืนมาทำงานแบบนี้ และเภสัชกรก็ตอบในเรื่องลาออกว่า ตอนนี้ตนยังไม่พร้อมไป ตนอยู่เวรดึกได้ แต่เผื่อมีคนสนใจ และตนจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาต่อไป
และในอีกแชต ก็ดูเหมือนว่าหัวหน้างานจะไม่พอใจเภสัชกรเรื่องตารางเวร โดยเฉพาะเรื่องวันหยุดของเภสัชกร และการขายเวร ทำให้หัวหน้างานตำหนิเภสัชกรว่า "จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง เธอมีสิทธิ์ตรงไหนมาจัดการ เธอเป็นหัวหน้าพี่เหรอ เป็นหน้าที่ของพี่ หรือหน้าที่ของเธอ ถ้าทำงานไม่ได้ ลาออกได้นะครับ ประวัติการทำงานจะได้ไม่เสีย" ซึ่งดูเหมือนว่านี่จะเป็นการตำหนิการทำงานในกรุ๊ปไลน์ใหญ่
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
ในขณะที่เฟซบุ๊ก Phuri Phatara ซึ่งสนิทกับเภสัชกรที่เสียชีวิต ได้เผยอีกแชตที่พบว่า ทางเภสัชกรโดนหัวหน้ากดดันให้ลาออก อันเนื่องมาจากการที่เภสัชกรต้องการที่จะขายเวร 17.00-21.00 น. และเมื่อหัวหน้ามาเห็นแชต ก็บอกเภสัชกรว่า ไปทำงานออฟฟิศหรืองานร้านขายยาดีกว่าไหม ดูจะเป็นทางเลือกที่โอเคมากกว่า การขอเวรดึกในตารางเอาไว้ เพื่อเอาสิทธิ์วันหยุด แล้วเอาเวรดึกไปปล่อยให้คนอื่น แต่วันหยุดตัวเองก็ยังคงได้เหมือนเดิม ดูจะเป็นการ "เห็นแก่ตัว"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
นอกจากนี้ ยังมีอีกคนที่อยู่ในแชต ที่แนะนำแนวทางเกี่ยวกับเรื่องการลงเวรไว้ว่า ในแต่ละเดือน ทุกคนจะได้มีวันหยุดคนละ 8 วัน แต่สลับวันหยุดกันไป จึงขอแนะนำว่า แต่ละคนก็มีแพลนสำคัญอยู่แล้ว 3-4 วัน ถ้าทุกคนมีสิทธิ์ที่ไม่ต้องโดนบังคับลงเวรเดือนละ 3-4 วัน ก็น่าจะช่วยในเรื่องการจัดการวันหยุดได้ง่าย โดยที่ทุกคนลงวันหยุด 8 วัน ขอล็อกวันหยุดได้ 3 วัน วันอื่นเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าวันหยุดชนกัน ต้องบังคับลงเวร ก็เลือกจับคนที่ไม่ได้ล็อกวันหยุดเอาไว้
แต่ทางหัวหน้างานก็มาบอกว่า ถ้าทะเลาะกันมาก ๆ พี่จะจัดให้แบบไม่ต้องขอ และถ้าใครทำนิสัยแบบนี้อีก ใบลาออกอยู่ที่ฝ่ายบุคคล ถ้าใครจะลาออกก็แจ้งชื่อมาได้เลย ถ้าดูแลปกครองกันไม่ได้ ไม่ต้องการหัวหน้าแบบพี่ พี่ก็ไม่ต้องการลูกน้องแบบนี้เหมือนกัน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
จากนั้นหัวหน้าก็ได้ลงภาพตารางเวร และมีข้อความว่า "พรุ่งนี้เช้าไปลาออกเถอะนะ พี่ว่าเราทำงานร่วมกันไม่ได้" "ถ้าทำงานตามระบบมันยาก แล้วมันจะดิ้นตาย พี่ไม่เคยพูดเล่นนะ ไปลาออกเถอะ"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
สุดท้าย ทางเภสัชกรได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น เขาได้ลงข้อความสุดท้ายไว้ว่า ขอบคุณทุกคนที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมา ทุกความทรงจำมีค่า และขอโทษถ้ายังติดค้างใครอยู่ ตนขอบคุณที่เคยช่วยเหลือเรามาตลอด เราทำตัวเอง เราเห็นแก่ตัว อยากไปแบบมีความสุขตอนนี้ แค่คิดว่าการที่ต้องไปทำงานและเจอหน้าคนที่ไม่เคยเห็นค่าก็เหนื่อยแล้ว ไลน์ที่ทำงานก็ Toxic จะไปต่อก็มีปัญหาหลายอย่าง สุดท้ายเราแค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ไม่มีจุดหมาย
เภสัชกรได้ขอบคุณและขอโทษพ่อแม่ และขอให้ทุกคนดูแลตัวเองกันด้วย ก่อนที่จะลงท้ายว่า "อโหสิกรรมให้เราหน่อยนะ เจอกันใหม่ชาติหน้า"
ในขณะที่สาเหตุที่ทางเภสัชกรไม่ยอมลาออก แม้ว่าจะโดนกดดันจากหัวหน้ามากขนาดนี้ และแม้ว่าคนรอบข้างจะแนะนำให้เภสัชกรลาออก เพราะรู้ว่าสภาพการทำงานไม่ดี เพราะทางเภสัชกรต้องการพิสูจน์ตัวเอง และทำให้เห็นว่าสามารถเอาชนะเรื่องนี้ได้ แต่สุดท้ายทางเภสัชกรก็รับไม่ไหว ยิ่งเห็นผู้บังคับบัญชากดดันให้ลาออก ก็ยิ่งหมดกำลังใจ ไม่อยากตื่นไปเจอกับสภาพแวดล้อมแบบนี้
ด้านหลายคนก็แห่เปิดวาร์ปและออกมาตำหนิถึงการทำงานของหัวหน้า ที่แม้จะเหมือนว่าเสนอทางเลือกให้ไปทำงานอย่างอื่น และในช่วงแรกก็ใช้คำพูดที่ไม่ได้รุนแรง แต่ก็ดูจะมีความกดดันอยู่กลาย ๆ จนสุดท้ายหัวหน้าก็กดดันให้ลูกน้องลาออก และตำหนิรุนแรงกลางกรุ๊ปไลน์ใหญ่ ยิ่งสุมไฟให้เกิดความรุนแรงอีก หัวหน้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ไม่มีความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน ก็มีบางความเห็นของคนที่เป็นเภสัชกรออกมาบอกว่า แม้การที่ลูกน้องขายเวรจะไม่ใช่เรื่องผิด และเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่บางโรงพยาบาลจะมีกฎเรื่องชั่วโมงการทำงานขั้นต่ำเอาไว้ หากจะหยุด ก็ต้องดูว่าลาเยอะไหม และขายเวรให้ใคร พาร์ตไทม์หรือฟูลไทม์ หากขายเวรให้พนักงานฟูลไทม์หยุดติดกันหลายวัน จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและการดูแลคนไข้ที่จะลดลง จากการพักผ่อนน้อยของทุกคน
ปกติแล้ว โรงพยาบาลจะจ้างงานตามจำนวนคนไข้ และกระจายงานและวันหยุดออกไปตามศักยภาพและเภสัชกรจะรู้ว่า เภสัชกรในห้องยามักจะไม่พอ หากมีใครสักคนที่หยุดเกินโควตา จะส่งผลอันตรายต่อคนไข้แน่นอน และนี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่หัวหน้าโกรธ
และต่อให้มีคนยอมรับซื้อเวรต่อ แต่คนที่รับซื้อเวรไป ก็อาจจะไม่พอใจ ไปบ่นลับหลังกับหัวหน้าหรือเปล่า หรือยอมรับเวรให้เพราะเกรงใจ รับเพราะกลัวว่าถ้าตัวเองจะขายเวรบ้าง จะไม่มีคนรับซื้อ หรือรับซื้อเวรเพราะเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามา ไม่กล้าปฏิเสธรุ่นพี่ เรื่องนี้ไม่รู้ข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าก็ทำเกินเหตุที่มีการตำหนิลูกน้องลงกลุ่ม ไม่ว่าเภสัชกรจะมีภาวะซึมเศร้าหรือไม่ ก็ไม่ควรทำ เพราะอาจทำให้เข้าหน้ากับเพื่อนไม่ได้ เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ในการบริหารจัดการของหัวหน้า และการเลือกวิธีการบริหารคน พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลดีกว่าจะที่จะใช้ความโกรธ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ในการทำงานทุกอย่างต้องมีความกดดัน แต่ความกดดันนั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องสุดท็อกซิกได้ หากมีมากเกินไป และได้รับผลกระทบโดยตรงจากคนที่เป็นหัวหน้า ซึ่งล่าสุด 31 ตุลาคม 2567 ในโลกออนไลน์ได้มีการเผยถึงแชตของเภสัชกรโรงพยาบาลดังคนหนึ่ง ที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง หลังจากที่พบหัวหน้างานกดดันให้ลาออก เพราะเรื่องการขายเวรมากเกินไป
เปิดแชต เภสัชกร จบชีวิตตัวเอง หัวหน้าพูดดี แต่เหมือนเป็นการบีบให้ไปทำงานอื่นกลาย ๆ
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว เผยว่า เภสัชกรคนหนึ่งจากโรงพยาบาลชื่อดัง และอดีตศิษย์เก่า ม.ขอนแก่น ได้ก่อเหตุฆ่าตัวตาย หลังจากที่เผชิญกับความกดดันในที่ทำงาน โดยเฉพาะจากคนที่เป็นหัวหน้างาน
โดยที่พบว่า ได้มีแชตจากหัวหน้างานที่ส่งมาให้เภสัชกรคนนี้ นับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 โดยในช่วงแรก เหมือนกับว่าหัวหน้าจะยื่นข้อเสนอให้เภสัชกรไปทำงานในคลังยา เพราะหัวหน้าเห็นว่าเภสัชกรขายเวรให้เพื่อนมากเกินไป หากทำงานที่คลังยาจะเป็นเวรสั้น ไม่มีกะดึก มีวันหยุดที่แน่นอนกว่า และจะได้ไม่ลำบากใจที่ต้องมาเป็นลูกน้อง แต่ทางเภสัชกรได้ขอโทษ และบอกว่าเรื่องขายเวรนั้น ได้คุยกับที่รับซื้อเวรไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ได้มีการขายเวรเพิ่ม หรือติดต่อไปขายเวรเพิ่มแต่อย่างใด แต่ทางหัวหน้าบอกว่า "ไม่เกี่ยวกับการขายเวรครับ"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
ในอีกแชตหนึ่ง หัวหน้าก็พูดประเด็นเรื่องการขายเวรอีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การบอกให้เภสัชกรย้ายไปทำงานอื่น แต่เป็นการบอกให้ลาออก ซึ่งหัวหน้างานบอกว่าเป็นห่วง ไปพักผ่อนจิตใจดีกว่า การฝืนอยู่ไม่ช่วยอะไร ถ้าต้องขายเวรขนาดนี้ ให้พักผ่อนจิตใจให้มีความสุขจะดีกว่า สงสารคนอื่น ๆ ที่ต้องมารับเวรแทน และเภสัชกรก็ดูไม่มีใจจะทำงานแล้ว หรือถ้าไม่อยากทำงานนี้แล้ว จะลาไปเที่ยวหรือพักผ่อนจิตใจดูก็ได้ ดีกว่าที่จะต้องฝืนมาทำงานแบบนี้ และเภสัชกรก็ตอบในเรื่องลาออกว่า ตอนนี้ตนยังไม่พร้อมไป ตนอยู่เวรดึกได้ แต่เผื่อมีคนสนใจ และตนจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาต่อไป
และในอีกแชต ก็ดูเหมือนว่าหัวหน้างานจะไม่พอใจเภสัชกรเรื่องตารางเวร โดยเฉพาะเรื่องวันหยุดของเภสัชกร และการขายเวร ทำให้หัวหน้างานตำหนิเภสัชกรว่า "จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง เธอมีสิทธิ์ตรงไหนมาจัดการ เธอเป็นหัวหน้าพี่เหรอ เป็นหน้าที่ของพี่ หรือหน้าที่ของเธอ ถ้าทำงานไม่ได้ ลาออกได้นะครับ ประวัติการทำงานจะได้ไม่เสีย" ซึ่งดูเหมือนว่านี่จะเป็นการตำหนิการทำงานในกรุ๊ปไลน์ใหญ่
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
เปิดแชต เภสัชกร จบชีวิตตัวเอง โดนกดดันให้ลาออกกลางที่ไลน์ ด่าเห็นแก่ตัว
ในขณะที่เฟซบุ๊ก Phuri Phatara ซึ่งสนิทกับเภสัชกรที่เสียชีวิต ได้เผยอีกแชตที่พบว่า ทางเภสัชกรโดนหัวหน้ากดดันให้ลาออก อันเนื่องมาจากการที่เภสัชกรต้องการที่จะขายเวร 17.00-21.00 น. และเมื่อหัวหน้ามาเห็นแชต ก็บอกเภสัชกรว่า ไปทำงานออฟฟิศหรืองานร้านขายยาดีกว่าไหม ดูจะเป็นทางเลือกที่โอเคมากกว่า การขอเวรดึกในตารางเอาไว้ เพื่อเอาสิทธิ์วันหยุด แล้วเอาเวรดึกไปปล่อยให้คนอื่น แต่วันหยุดตัวเองก็ยังคงได้เหมือนเดิม ดูจะเป็นการ "เห็นแก่ตัว"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
นอกจากนี้ ยังมีอีกคนที่อยู่ในแชต ที่แนะนำแนวทางเกี่ยวกับเรื่องการลงเวรไว้ว่า ในแต่ละเดือน ทุกคนจะได้มีวันหยุดคนละ 8 วัน แต่สลับวันหยุดกันไป จึงขอแนะนำว่า แต่ละคนก็มีแพลนสำคัญอยู่แล้ว 3-4 วัน ถ้าทุกคนมีสิทธิ์ที่ไม่ต้องโดนบังคับลงเวรเดือนละ 3-4 วัน ก็น่าจะช่วยในเรื่องการจัดการวันหยุดได้ง่าย โดยที่ทุกคนลงวันหยุด 8 วัน ขอล็อกวันหยุดได้ 3 วัน วันอื่นเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าวันหยุดชนกัน ต้องบังคับลงเวร ก็เลือกจับคนที่ไม่ได้ล็อกวันหยุดเอาไว้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
จากนั้นหัวหน้าก็ได้ลงภาพตารางเวร และมีข้อความว่า "พรุ่งนี้เช้าไปลาออกเถอะนะ พี่ว่าเราทำงานร่วมกันไม่ได้" "ถ้าทำงานตามระบบมันยาก แล้วมันจะดิ้นตาย พี่ไม่เคยพูดเล่นนะ ไปลาออกเถอะ"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
คำสั่งลาสุดท้าย เภสัชกร แค่คิดว่าจะไปทำงานก็เหนื่อยแล้ว - เผย ทำไมสลับเวรใน รพ. ถึงเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
สุดท้าย ทางเภสัชกรได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น เขาได้ลงข้อความสุดท้ายไว้ว่า ขอบคุณทุกคนที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมา ทุกความทรงจำมีค่า และขอโทษถ้ายังติดค้างใครอยู่ ตนขอบคุณที่เคยช่วยเหลือเรามาตลอด เราทำตัวเอง เราเห็นแก่ตัว อยากไปแบบมีความสุขตอนนี้ แค่คิดว่าการที่ต้องไปทำงานและเจอหน้าคนที่ไม่เคยเห็นค่าก็เหนื่อยแล้ว ไลน์ที่ทำงานก็ Toxic จะไปต่อก็มีปัญหาหลายอย่าง สุดท้ายเราแค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ไม่มีจุดหมาย
เภสัชกรได้ขอบคุณและขอโทษพ่อแม่ และขอให้ทุกคนดูแลตัวเองกันด้วย ก่อนที่จะลงท้ายว่า "อโหสิกรรมให้เราหน่อยนะ เจอกันใหม่ชาติหน้า"
ในขณะที่สาเหตุที่ทางเภสัชกรไม่ยอมลาออก แม้ว่าจะโดนกดดันจากหัวหน้ามากขนาดนี้ และแม้ว่าคนรอบข้างจะแนะนำให้เภสัชกรลาออก เพราะรู้ว่าสภาพการทำงานไม่ดี เพราะทางเภสัชกรต้องการพิสูจน์ตัวเอง และทำให้เห็นว่าสามารถเอาชนะเรื่องนี้ได้ แต่สุดท้ายทางเภสัชกรก็รับไม่ไหว ยิ่งเห็นผู้บังคับบัญชากดดันให้ลาออก ก็ยิ่งหมดกำลังใจ ไม่อยากตื่นไปเจอกับสภาพแวดล้อมแบบนี้
ด้านหลายคนก็แห่เปิดวาร์ปและออกมาตำหนิถึงการทำงานของหัวหน้า ที่แม้จะเหมือนว่าเสนอทางเลือกให้ไปทำงานอย่างอื่น และในช่วงแรกก็ใช้คำพูดที่ไม่ได้รุนแรง แต่ก็ดูจะมีความกดดันอยู่กลาย ๆ จนสุดท้ายหัวหน้าก็กดดันให้ลูกน้องลาออก และตำหนิรุนแรงกลางกรุ๊ปไลน์ใหญ่ ยิ่งสุมไฟให้เกิดความรุนแรงอีก หัวหน้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ไม่มีความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน ก็มีบางความเห็นของคนที่เป็นเภสัชกรออกมาบอกว่า แม้การที่ลูกน้องขายเวรจะไม่ใช่เรื่องผิด และเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่บางโรงพยาบาลจะมีกฎเรื่องชั่วโมงการทำงานขั้นต่ำเอาไว้ หากจะหยุด ก็ต้องดูว่าลาเยอะไหม และขายเวรให้ใคร พาร์ตไทม์หรือฟูลไทม์ หากขายเวรให้พนักงานฟูลไทม์หยุดติดกันหลายวัน จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและการดูแลคนไข้ที่จะลดลง จากการพักผ่อนน้อยของทุกคน
ปกติแล้ว โรงพยาบาลจะจ้างงานตามจำนวนคนไข้ และกระจายงานและวันหยุดออกไปตามศักยภาพและเภสัชกรจะรู้ว่า เภสัชกรในห้องยามักจะไม่พอ หากมีใครสักคนที่หยุดเกินโควตา จะส่งผลอันตรายต่อคนไข้แน่นอน และนี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่หัวหน้าโกรธ
และต่อให้มีคนยอมรับซื้อเวรต่อ แต่คนที่รับซื้อเวรไป ก็อาจจะไม่พอใจ ไปบ่นลับหลังกับหัวหน้าหรือเปล่า หรือยอมรับเวรให้เพราะเกรงใจ รับเพราะกลัวว่าถ้าตัวเองจะขายเวรบ้าง จะไม่มีคนรับซื้อ หรือรับซื้อเวรเพราะเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามา ไม่กล้าปฏิเสธรุ่นพี่ เรื่องนี้ไม่รู้ข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าก็ทำเกินเหตุที่มีการตำหนิลูกน้องลงกลุ่ม ไม่ว่าเภสัชกรจะมีภาวะซึมเศร้าหรือไม่ ก็ไม่ควรทำ เพราะอาจทำให้เข้าหน้ากับเพื่อนไม่ได้ เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ในการบริหารจัดการของหัวหน้า และการเลือกวิธีการบริหารคน พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลดีกว่าจะที่จะใช้ความโกรธ