ชายตรวจดีเอ็นเอแก้เบื่อ ผลออกมาถึงกับเหวอ จนได้เจอสมาชิกครอบครัวที่พลัดพราก ส่วนน้องแท้ ๆ ทำใจรับความจริงไม่ได้
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ชายคนหนึ่งได้รับของฝากจากเพื่อนเป็นชุดตรวจดีเอ็นเอ แต่เมื่อเขาลองมาตรวจกลับนำไปสู่การเปิดเผยความจริงที่ครอบครัวไม่เคยล่วงรู้มาก่อน และนำไปสู่การได้พบกับสมาชิกครอบครัวอีกคนที่พลัดพรากมาอย่างยาวนาน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ โจน ผู้เป็นแม่ มีลูก ๆ ทั้งหมด 4 คน โดยมี โทนี่ เป็นลูกชายคนโต และน้องชายอีก 2 คน ซึ่งคุณแม่นั้นปรารถนาที่จะมีลูกสาวสักคนในบ้าน แล้วเธอก็สมหวังเมื่อได้ให้กำเนิด เจสสิกา ลูกสาวคนเล็กในปี 2510 นั่นทำให้โจน ผู้เป็นแม่รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ในปี 2564 โทนี่ ได้รับของขวัญจากเพื่อนในวันคริสต์มาส เป็นชุดตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะใช้มันและนำไปวางทิ้งไว้ในครัวนานถึง 2 เดือน จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปีต่อมา โทนี่ ต้องพลาดไปออกรอบตีกอล์ฟเพราะมีฝนตกหนัก ด้วยความเบื่อหน่ายเขาจึงนำชุดตรวจดังกล่าวมาลองใช้ดูและส่งดีเอ็นเอไปตรวจ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดมากอะไรเป็นเวลาหลายสัปดาห์
ต่อมาเมื่อผลตรวจมาถึง มันก็ดูจะไม่ได้น่าเซอร์ไพรส์อะไรมาก มันแสดงแผนผังของครอบครัวเขา ซึ่งสืบสายมาจากสถานที่ในไอร์แลนด์ รวมไปถึงมีการลำดับสมาชิกในครอบครัวต่าง ๆ ได้ถูกต้อง จนกระทั่งมาเจอสิ่งผิดปกติคือผลตรวจระบุว่าน้องสาวเขานั้นแทนที่จะชื่อว่า เจสสิกา กลับกลายเป็นหญิงที่ชื่อว่า แคลร์ ซึ่งถูกระบุว่าหญิงคนดังกล่าวนั้นเป็นพี่น้องแท้ ๆ กับเขา
โทนี่ รู้สึกสงสัยกับผลตรวจนี้ เขาจึงขอข้อมูลจากบริษัทตรวจดีเอ็นเอเพื่อติดต่อไปยัง แคลร์ พร้อมกับแจ้งความจริงข้างต้น ซึ่งเขานั้นคิดว่ามันคงเป็นข้อผิดพลาด และอยากให้ แคลร์ ช่วยชี้แจงว่ามันใช่แบบนั้นจริงหรือเปล่า
แคลร์ เล่าให้โทนี่ฟังว่า เธอรู้สึกมาตลอดว่าชีวิตเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เธอนั้นไม่ได้มีอะไรเหมือนกับครอบครัวเลย ทั้งเรื่องของนิสัยและรูปลักษณ์ เธอจึงเข้าใจมาตลอดว่าเธอน่าจะถูกรับมาเลี้ยง
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
หลังจากทั้งคู่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน โทนี่
ได้ทราบถึงประเด็นสำคัญว่า แคลร์ เกิดในช่วงเดียวกันกับ เจสสิกา
ในโรงพยาบาลแห่งเดียวกัน ความเป็นไปได้ที่สุดของเรื่องนี้คือ แคลร์ และ
เจสสิกา ถูกสลับตัวกันตั้งแต่แรกเกิดเมื่อ 55 ปีก่อน
และถูกเลี้ยงดูมากันคนละครอบครัว
เรื่องราวนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ในวงการการแพทย์สหราชอาณาจักร เพราะแทบจะไม่เคยมีเคสที่ด็กทารกถูกส่งกลับบ้านไปกับผู้ที่ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา เพราะตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ทารกแรกเกิดจะได้รับแท็กติดตามตำแหน่งได้ แต่ก่อนหน้านั้น แผนกสูติกรรม จะใช้ป้ายและบัตรที่เขียนด้วยลายมือบนเตียงเด็ก
โจน เปิดใจว่า เดิมทีเธอนั้นมีกำลังจะคลอดลูกสาวที่บ้าน แต่ด้วยที่เธอนั้นมีความดันในเลือดสูงจึงจำเป็นต้องไปคลอดที่โรงพยาบาล หลังจากคลอดลูกสาวที่เฝ้ารอมานาน เธอจำได้ดีว่าลูกมีใบหน้าแดง เช่นเดียวกับเส้นผมสีเข้ม จากนั้นพยาบาลจึงแยกเด็กไปพักในห้องดูแลทารก แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ทารกที่ถูกส่งมาให้นั้นกลายเป็น เจสสิกา ซึ่งแม้ โจน จะผิดสังเกตที่เด็กดูสีผมอ่อน ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว แต่คิดว่าเด็กคงได้ผมสีนี้มาจากฝั่งป้าและลูกพี่ลูกน้อง ส่วนผู้เป็นพ่อ เขานั้นก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะแค่รู้สึกดีใจมากที่มีลูกสาวคนแรก
แคลร์ ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับความจริง และขอที่จะเจอกับ โจน ผู้เป็นแม่แท้ ๆ ของตนเอง และพบว่าแท้จริงแล้วบ้านของเธอกับแม่แท้ ๆ ไม่ได้อยู่ไกลกันเลย ตลอดหลายปีเธอเคยขับรถผ่านไป-มาเป็นประจำโดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน โดย โทนี่ เข้ามาต้อนรับน้องสาวที่พลัดพราก และพาไปเจอกับแม่แท้ ๆ ที่กำลังรอยู่
ทันทีที่ แคลร์ ได้เห็นหน้าของ โจน ผู้เป็นแม่ เธอก็รู้สึกเหมือนว่าพวกเธอนั้นรู้จักกันมาโดยตลอด เธอถึงกับอุทานเมื่อได้เห็นหน้าแม่ใกล้ ๆ เพราะดวงตาของแม่กับเธอนั้นเหมือนกันมาก เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ก่อนที่ทั้งหมดจะนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของกันและกันอย่างยาวนาน
หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันเรื่อย ๆ แคลร์ สัมผัสได้ว่าเธอกับแม่แท้ ๆ มีอะไรที่เหมือนกันมาก เช่น รสนิยมเรื่องเสื้อผ้า อาหาร และวิธีการดื่มชา ซึ่งไม่นาน แคลร์ ก็สนิทสนมกับครอบครัวแท้ ๆ ทันที เธอกับโจนได้ไปเที่ยวพักผ่อน ไปเยี่ยมเยียนถิ่นกำเนิดที่ไอร์แลนด์ และใช้เวลาคริสต์มาสปีที่แล้วด้วยกัน ซึ่งปัจจุบัน แคลร์ ก็สนิทใจมากจนเรียกโจนว่าแม่อีกด้วย
อีกมุมหนึ่ง เมื่อ โทนี่ และโจน ตัดสินใจบอกความจริงกับ เจสสิกา ผู้ซึ่งไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยว่า พี่ชายและแม่ของตัวเอง จะไม่ได้มีความเกี่ยวกันใด ๆ ทางสายเลือดกับเธอเลย ซึ่งแม้โจนจะย้ำว่า เธอกับเจสสิกาจะยังเป็นแม่ลูกกันตลอดไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีก เธอไม่ได้เรียกโจนว่าแม่อีกแล้ว แต่สำหรับผู้เป็นแม่นั้น เธอยังคงมองเจสสิกาเป็นลูกเสมอไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ในมุมข้อกฎหมายนั้น โทนี่ แจ้งไปถึงหน่วยงานบริการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบโรงพยาบาลที่ส่งน้องสาวสลับตัวไปผิดครอบครัว ทางหน่วยงานยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ยากและซับซ้อน โดยพวกเขานั้นยอมรับผิด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจาชดเชยค่าเสียหายให้ทั้งสองครอบครัว
ขอบคุณข้อมูลจาก BBC
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ชายคนหนึ่งได้รับของฝากจากเพื่อนเป็นชุดตรวจดีเอ็นเอ แต่เมื่อเขาลองมาตรวจกลับนำไปสู่การเปิดเผยความจริงที่ครอบครัวไม่เคยล่วงรู้มาก่อน และนำไปสู่การได้พบกับสมาชิกครอบครัวอีกคนที่พลัดพรากมาอย่างยาวนาน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ โจน ผู้เป็นแม่ มีลูก ๆ ทั้งหมด 4 คน โดยมี โทนี่ เป็นลูกชายคนโต และน้องชายอีก 2 คน ซึ่งคุณแม่นั้นปรารถนาที่จะมีลูกสาวสักคนในบ้าน แล้วเธอก็สมหวังเมื่อได้ให้กำเนิด เจสสิกา ลูกสาวคนเล็กในปี 2510 นั่นทำให้โจน ผู้เป็นแม่รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ในปี 2564 โทนี่ ได้รับของขวัญจากเพื่อนในวันคริสต์มาส เป็นชุดตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะใช้มันและนำไปวางทิ้งไว้ในครัวนานถึง 2 เดือน จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปีต่อมา โทนี่ ต้องพลาดไปออกรอบตีกอล์ฟเพราะมีฝนตกหนัก ด้วยความเบื่อหน่ายเขาจึงนำชุดตรวจดังกล่าวมาลองใช้ดูและส่งดีเอ็นเอไปตรวจ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดมากอะไรเป็นเวลาหลายสัปดาห์
ต่อมาเมื่อผลตรวจมาถึง มันก็ดูจะไม่ได้น่าเซอร์ไพรส์อะไรมาก มันแสดงแผนผังของครอบครัวเขา ซึ่งสืบสายมาจากสถานที่ในไอร์แลนด์ รวมไปถึงมีการลำดับสมาชิกในครอบครัวต่าง ๆ ได้ถูกต้อง จนกระทั่งมาเจอสิ่งผิดปกติคือผลตรวจระบุว่าน้องสาวเขานั้นแทนที่จะชื่อว่า เจสสิกา กลับกลายเป็นหญิงที่ชื่อว่า แคลร์ ซึ่งถูกระบุว่าหญิงคนดังกล่าวนั้นเป็นพี่น้องแท้ ๆ กับเขา
โทนี่ รู้สึกสงสัยกับผลตรวจนี้ เขาจึงขอข้อมูลจากบริษัทตรวจดีเอ็นเอเพื่อติดต่อไปยัง แคลร์ พร้อมกับแจ้งความจริงข้างต้น ซึ่งเขานั้นคิดว่ามันคงเป็นข้อผิดพลาด และอยากให้ แคลร์ ช่วยชี้แจงว่ามันใช่แบบนั้นจริงหรือเปล่า
ย้อนไป 2 ปีก่อนหน้านั้น แคลร์ ก็ได้รับของขวัญวันเกิดจากลูกชายเป็นชุดตรวจดีเอ็นเอเช่นกัน ผลออกมาพบว่าเธอนั้นไม่ได้มีความเชื่อมโยงใด ๆ กับสถานที่เกิดของพ่อแม่ แต่มันระบุว่าเธอนั้นมีความเชื่อมโยงกับพี่น้องที่อื่นซึ่งเธอไม่ได้รู้จักกับครอบครัวนั้นเลย ก่อนที่ในปี 2565 เธอจะได้รับการติดต่อจาก โทนี่ คนที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ
แคลร์ เล่าให้โทนี่ฟังว่า เธอรู้สึกมาตลอดว่าชีวิตเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เธอนั้นไม่ได้มีอะไรเหมือนกับครอบครัวเลย ทั้งเรื่องของนิสัยและรูปลักษณ์ เธอจึงเข้าใจมาตลอดว่าเธอน่าจะถูกรับมาเลี้ยง
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
เรื่องราวนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ในวงการการแพทย์สหราชอาณาจักร เพราะแทบจะไม่เคยมีเคสที่ด็กทารกถูกส่งกลับบ้านไปกับผู้ที่ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา เพราะตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ทารกแรกเกิดจะได้รับแท็กติดตามตำแหน่งได้ แต่ก่อนหน้านั้น แผนกสูติกรรม จะใช้ป้ายและบัตรที่เขียนด้วยลายมือบนเตียงเด็ก
โจน เปิดใจว่า เดิมทีเธอนั้นมีกำลังจะคลอดลูกสาวที่บ้าน แต่ด้วยที่เธอนั้นมีความดันในเลือดสูงจึงจำเป็นต้องไปคลอดที่โรงพยาบาล หลังจากคลอดลูกสาวที่เฝ้ารอมานาน เธอจำได้ดีว่าลูกมีใบหน้าแดง เช่นเดียวกับเส้นผมสีเข้ม จากนั้นพยาบาลจึงแยกเด็กไปพักในห้องดูแลทารก แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ทารกที่ถูกส่งมาให้นั้นกลายเป็น เจสสิกา ซึ่งแม้ โจน จะผิดสังเกตที่เด็กดูสีผมอ่อน ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว แต่คิดว่าเด็กคงได้ผมสีนี้มาจากฝั่งป้าและลูกพี่ลูกน้อง ส่วนผู้เป็นพ่อ เขานั้นก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะแค่รู้สึกดีใจมากที่มีลูกสาวคนแรก
แคลร์ ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับความจริง และขอที่จะเจอกับ โจน ผู้เป็นแม่แท้ ๆ ของตนเอง และพบว่าแท้จริงแล้วบ้านของเธอกับแม่แท้ ๆ ไม่ได้อยู่ไกลกันเลย ตลอดหลายปีเธอเคยขับรถผ่านไป-มาเป็นประจำโดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน โดย โทนี่ เข้ามาต้อนรับน้องสาวที่พลัดพราก และพาไปเจอกับแม่แท้ ๆ ที่กำลังรอยู่
ทันทีที่ แคลร์ ได้เห็นหน้าของ โจน ผู้เป็นแม่ เธอก็รู้สึกเหมือนว่าพวกเธอนั้นรู้จักกันมาโดยตลอด เธอถึงกับอุทานเมื่อได้เห็นหน้าแม่ใกล้ ๆ เพราะดวงตาของแม่กับเธอนั้นเหมือนกันมาก เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ก่อนที่ทั้งหมดจะนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของกันและกันอย่างยาวนาน
หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันเรื่อย ๆ แคลร์ สัมผัสได้ว่าเธอกับแม่แท้ ๆ มีอะไรที่เหมือนกันมาก เช่น รสนิยมเรื่องเสื้อผ้า อาหาร และวิธีการดื่มชา ซึ่งไม่นาน แคลร์ ก็สนิทสนมกับครอบครัวแท้ ๆ ทันที เธอกับโจนได้ไปเที่ยวพักผ่อน ไปเยี่ยมเยียนถิ่นกำเนิดที่ไอร์แลนด์ และใช้เวลาคริสต์มาสปีที่แล้วด้วยกัน ซึ่งปัจจุบัน แคลร์ ก็สนิทใจมากจนเรียกโจนว่าแม่อีกด้วย
อีกมุมหนึ่ง เมื่อ โทนี่ และโจน ตัดสินใจบอกความจริงกับ เจสสิกา ผู้ซึ่งไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยว่า พี่ชายและแม่ของตัวเอง จะไม่ได้มีความเกี่ยวกันใด ๆ ทางสายเลือดกับเธอเลย ซึ่งแม้โจนจะย้ำว่า เธอกับเจสสิกาจะยังเป็นแม่ลูกกันตลอดไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีก เธอไม่ได้เรียกโจนว่าแม่อีกแล้ว แต่สำหรับผู้เป็นแม่นั้น เธอยังคงมองเจสสิกาเป็นลูกเสมอไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ในมุมข้อกฎหมายนั้น โทนี่ แจ้งไปถึงหน่วยงานบริการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบโรงพยาบาลที่ส่งน้องสาวสลับตัวไปผิดครอบครัว ทางหน่วยงานยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ยากและซับซ้อน โดยพวกเขานั้นยอมรับผิด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจาชดเชยค่าเสียหายให้ทั้งสองครอบครัว
ขอบคุณข้อมูลจาก BBC