กะหล่ำสีรุ้ง หลังผสมน้ำส้มสายชูแล้วเปลี่ยนสี เกิดจากอะไร สามารถกินได้ไหม เรื่องนี้เป็นไวรัลในญี่ปุ่น จนมีคนมาตอบ
วันที่ 20 ธันวาคม 2567 ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งชาวญี่ปุ่น มีการลงรูปดอกกะหล่ำสีรุ้งหลากสีสันที่อยู่ในชาม เป็นสีสันที่ฉูดฉาด ไม่น่ากิน มีทั้งสีม่วง สีชมพูเข้ม สีม่วงอ่อน ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
เจ้าของรูปเล่าว่า ระหว่างที่เธอกำลังทำอาหาร นึ่งดอกกะหล่ำสีม่วงเสร็จแล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป ไม่นานนักสีของกะหล่ำก็เปลี่ยนไปอย่างที่เห็นในภาพ
เฟซบุ๊ก The Earth ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ดอกกะหล่ำสามารถเปลี่ยนสีได้ถ้าสัมผัสกับน้ำส้มสายชู เนื่องจากกะหล่ำมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่ไวต่อค่า pH (ความเป็นกรด-เบส) เมื่อสัมผัสกับน้ำส้มสายชูที่เป็นกรดสูงก็จะเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี ทำให้สีดอกกะหล่ำเปลี่ยนได้
ถ้าหากเป็นดอกกะหล่ำสีม่วง
เมื่อสัมผัสน้ำส้มสายชูจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดง ส่วนดอกกะหล่ำสีขาวอาจจะเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อนหรือไม่เปลี่ยนสีเลย
เนื่องจากมีสารแอนโทไซยานินน้อยกว่าดอกกะหล่ำสีม่วง
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบทวิตเตอร์ของผู้โพสต์อีกครั้ง พบว่าได้ลบรูปดังกล่าวออกไปเรียบร้อยหลังจากเป็นไวรัลดัง
วันที่ 20 ธันวาคม 2567 ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งชาวญี่ปุ่น มีการลงรูปดอกกะหล่ำสีรุ้งหลากสีสันที่อยู่ในชาม เป็นสีสันที่ฉูดฉาด ไม่น่ากิน มีทั้งสีม่วง สีชมพูเข้ม สีม่วงอ่อน ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
เจ้าของรูปเล่าว่า ระหว่างที่เธอกำลังทำอาหาร นึ่งดอกกะหล่ำสีม่วงเสร็จแล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป ไม่นานนักสีของกะหล่ำก็เปลี่ยนไปอย่างที่เห็นในภาพ
กะหล่ำสีรุ้งกินได้ไหม
เฟซบุ๊ก The Earth ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ดอกกะหล่ำสามารถเปลี่ยนสีได้ถ้าสัมผัสกับน้ำส้มสายชู เนื่องจากกะหล่ำมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่ไวต่อค่า pH (ความเป็นกรด-เบส) เมื่อสัมผัสกับน้ำส้มสายชูที่เป็นกรดสูงก็จะเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี ทำให้สีดอกกะหล่ำเปลี่ยนได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบทวิตเตอร์ของผู้โพสต์อีกครั้ง พบว่าได้ลบรูปดังกล่าวออกไปเรียบร้อยหลังจากเป็นไวรัลดัง