คนไทยรีวิว ไปเปิดร้านขายของชำในสิงคโปร์ ราคาเท่าลงทุนเปิด 7-11 ในไทย แต่ทำกำไรเดือนละ 10 ล้านบาท พีคสุดได้เดือนละ 14 ล้าน คืนทุนตั้งแต่เดือนแรก ลงทุนตั้งแต่หาที่ รีโนเวทร้าน จ้างคนงานมาทำ เอาของจากไทยมาขาย เธอทำได้ยังไง มาดูกัน
ภาพจาก คุณ ท้องฟ้าสวยจังช่วงนี้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
คนที่เป็นนักธุรกิจย่อมแสวงหาการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งบางครั้งหลายคนอาจจะมองว่าต้องมีเงินหนาเท่านั้นถึงจะลงทุนได้ แต่ล่าสุด (20 ธันวาคม 2567) ได้มีนักธุรกิจคนหนึ่งจากไทย ที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 6 ล้านบาท ในการไปเปิดร้านขายของชำที่ประเทศสิงคโปร์ แต่เพียงแค่เดือนเดียวเธอก็สามารถคืนทุนด้วยการทำกำไรไปถึง 10 ล้านบาท เปิดมา 3 ปี ขายดิบขายดีสุด ๆ
จุดเริ่มต้น เปิดร้านขายของชำที่สิงคโปร์ หลังชอบเข้าบ่อย สังเกตเห็นความต่างของราคา
ทั้งนี้ คุณ ท้องฟ้าสวยจังช่วงนี้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ออกมาเผยว่า จุดเริ่มต้นของการทำร้านของชำที่สิงคโปร์นั้น เกิดจากการที่เธอไปทำธุรกิจที่สิงคโปร์บ่อย และเธอก็ชอบเข้าร้านขายของชำ เธอเป็นคนชอบดื่มน้ำอัดลม ผลไม้อบแห้ง ทั้งซื้อจาก 7-11 และร้านค้าท้องถิ่น และทำให้เธอสังเกตเห็นว่าสินค้าประเภทผลไม้แปรรูปพวกนี้ขายดีมาก ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้หมดแล้ว และสินค้าพวกนี้ติดสลากไทยและนำเข้ามาจากจีน นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้เธอเริ่มศึกษาและสนใจการลงทุนทำร้านขายของชำในสิงคโปร์
เธอเริ่มไปศึกษากฎหมายของสิงคโปร์เรื่องการเปิดร้านของชำ และทำให้รู้ว่าหากร้านค้ามีตู้แช่จะต้องมีการตรวจเชื้อราบ่อย ๆ สถานที่เก็บของต้องได้มาตรฐาน แต่ด้วยความที่เธอไม่เชี่ยวชาญในเรื่องกฎหมายของสิงคโปร์ เธอจึงต้องไปปรึกษาบริษัทที่ปรึกษา และบริษัทก็เอาทำเลมาให้เธอเลือกทั้งหมด 5-6 แห่ง หากตกลงเช่าแล้วต้องใช้เวลาในการเดินเรื่องอย่างน้อย 3-4 เดือน
ภาพจาก คุณ ท้องฟ้าสวยจังช่วงนี้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สำรวจสถานที่ - ราคาสินค้าที่ขาย พบจุดต่างราคาร้านของชำกับ 7-11 โอกาสมาถึงแล้ว
สุดท้ายเธอจึงเลือกสถานที่ในย่านเกลัง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเยอะ มีคนอินเดีย-คนไทยอยู่เยอะ รวมไปถึงมีโรงแรมขนาดเล็ก เช่น โรงแรมม่านรูด โรงแรมรายชั่วโมง เยอะมาก ร้านที่เลือกอยู่หน้าซอย ริมถนนใหญ่ คนเข้าร้านตลอดเวลาไม่มีช่วงเงียบ เปิดร้านได้ถึงเที่ยงคืน ร้านเป็นตึกแถวที่ให้เช่าเฉพาะด้านล่าง ส่วนด้านบนนั้นเจ้าของตึกเอาไปทำอพาร์ตเมนต์และโรงแรม
นอกจากนี้เธอได้ไปสำรวจในย่านนี้ และพบว่าราคาของที่ขายใน 7-11 จะแพงกว่าร้านขายของชำที่อยู่ติดกันประมาณ 1-3 เหรียญ เช่น
- ที่ร้านขายของชำขายโค้กขวดละ 2.75 เหรียญ (ประมาณ 70 บาท) แต่ 7-11 ขายที่ราคา 3.14 เหรียญ (ประมาณ 80 บาท )
- มาม่าจากไทย ร้านของชำขายที่ราคา 4-5 เหรียญ (ประมาณ 100-127 บาท) แต่ 7-11 ขายที่ราคา 7-8 เหรียญ (ประมาณ 178-200 บาท)
- ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ราคาต่างกันมากคือ ผลไม้อบแห้ง ผลไม้แปรรูป ร้านขายของชำขายที่ 13-15 เหรียญ (ประมาณ 330-380 บาท) แต่ 7-11 ขายที่ 17-20 เหรียญ (ประมาณ 430-500 บาท) สินค้าติดสลากไทย บางอย่างที่ไทยขาย 3 ถุง 100 บาท ต้นทุนถุงละ 35 บาท แต่ที่นี่ขายกันที่ราคา 200-300 บาท ฟันกำไรกันเยอะทีเดียว
เธอเลือกที่จะเช่าที่นี่ เพราะสนนราคาจ่ายไหว และเริ่มการเช่าต้องมีวงเงินค่าเช่า 1 ปี สำหรับค่าเช่าปกติ
ภาพจาก คุณ ท้องฟ้าสวยจังช่วงนี้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
วิธีการจ้างงาน เลือกโกดัง ต้องจ้างเฉพาะคนสิงคโปร์ - ทำร้านไม่มีประตูกั้น เดินเข้า-ออกสะดวก
ในเรื่องการจ้างงานนั้น ต้องเลือกจ้างแรงงานจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และเกาหลีใต้ เท่านั้น หากทำธุรกิจเข้าเกณฑ์ถึงจะสามารถจ้างแรงงานไทยได้ ส่วนการทำสต็อก เธอได้เลือกโกดังที่ใกล้กับรถไฟ เพราะตั้งใจจะนำสินค้าที่ขนส่งจากไทยมาทางรถไฟเพื่อประหยัดต้นทุน ทางบริษัทที่ปรึกษาก็จัดหาที่ให้ และทำสัญญาโกดังระยะเวลาเท่ากับสัญญาเช่าร้าน โดยเมื่อสั่งของจากไทยก็จะส่งผ่านทางขบวนรถไฟมาที่โกดังที่สิงคโปร์ โกดังก็จะมีรถขนส่งเอาของมาให้ที่ร้านด้วย สะดวกมาก ๆ
ในการตกแต่งร้าน เธอเลือกที่จะตกแต่งร้านโดยไม่มีประตูกระจกเปิด-ปิดเข้า-ออก คนเข้าร้านได้ทั้งวัน และติดกล้องวงจรปิดทั่วร้าน กฎหมายที่สิงคโปร์ค่อนข้างแรง คนไม่กล้าขโมยของ เธอใช้เวลาในการเดินเอกสาร เตรียมสต็อก หาคนทำงาน รีโนเวทร้าน รวม 4 เดือน
วิธีเลือกสินค้าที่ขาย นำเข้ามาจากไทย โดยเฉพาะผลไม้อบแห้ง ซื้อมา 35 ขายจริง 350
ในส่วนสินค้าที่ขายนั้น ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้ามาจากไทย โดยที่เธอสั่งจากหาดใหญ่เป็นหลัก เช่น เครื่องดื่ม โค้ก นม แลคตาซอย ที่ไทยขายกล่องละ 15 บาท ที่สิงคโปร์ขายกล่องละ 2.4 เหรียญ หรือ 70 กว่าบาท
สิ่งที่ทำกำไรมาก ๆ คือ ผลไม้อบแห้ง ผลไม้ของฝาก ที่ไทยขาย 3 ถุง 100 บาท ตกถุงละ 35 บาท แต่เธอเอามาขายถุงละ 5-7 เหรียญ (127-177 บาท) ถ้าอันใหญ่ขายที่ 10-15 เหรียญ (250-350 บาท) ได้กำไรจากการขายผลไม้แห้งเยอะมาก วางเท่าไรก็หมด คนเดินเข้า-ออกทั้งวันตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ยังไม่นับรวมสินค้า เช่น มาม่า มาม่าคัพ เลย์ มันฝรั่ง ขนมนำเข้าจากจีน เครื่องดื่มจากจีน ซึ่งทางยี่ปั๊วจากหาดใหญ่นำเข้ามาขายให้
ในขณะเดียวกันที่ร้านจะไม่มีขายของสด เช่น ขนมปังสด หรือกล้วยหอมสด จึงทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่เข้าตรวจ จะมีแค่ตู้เครื่องดื่มเท่านั้น
ปัจจุบันเธอทำงานขายของชำที่สิงคโปร์จนได้ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ในแบบผู้ประกอบการ สามารถเดินทางเข้า-ออกสิงคโปร์สบาย สามารถเปิดบัญชีธนาคาร เปิดบัญชีบริษัทได้ตามปกติ จนตอนนี้เธอแทบจะกลายเป็นคนสิงคโปร์ไปแล้ว
ภาพจาก คุณ ท้องฟ้าสวยจังช่วงนี้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เปิดค่าใช้จ่าย ลงทุนขายของชำที่สิงคโปร์ ลงทุน 5 ล้านบาท กำไรเดือนละ 10 ล้าน คืนทุนตั้งแต่เดือนแรก
ในส่วนของค่าใช้จ่าย มีดังนี้
ค่าเช่าร้าน เดือนละ 8,000 เหรียญ เป็นห้องเปล่า ตกประมาณเดือนละ 208,000 บาท แต่ต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 1 ปี และค่ามัดจำ 6 เดือน รวมเบ็ดเสร็จ 144,000 เหรียญ ตกเป็นเงินไทยที่ประมาณ 3,744,000 บาท
ค่าเช่าโกดัง เดือนละ 3,550 เหรียญ ตกประมาณเดือนละ 89,000 บาท แต่ต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 1 ปี และค่ามัดจำ 6 เดือน รวมเบ็ดเสร็จ 63,900 เหรียญ ตกเป็นเงินไทยที่ประมาณ 1,661,400 บาท
ค่าดำเนินการบริษัทที่ปรึกษา ค่าเอกสารเปิดบริษัท ค่าธรรมเนียมทางรัฐ ค่าธรรมเนียมธนาคาร จ่ายครั้งเดียว 20,000 เหรียญ (ประมาณ 520,000 บาท)
ค่ารีโนเวทร้าน ซื้อชั้นวางของ ตู้เครื่องดื่ม ระบบไฟ ระบบแอร์ ระบบน้ำ กล้องวงจรปิด เครื่อง POS ระบบชำระเงิน 37,000 เหรียญ (ประมาณ 962,000 บาท)
ค่าเงินเดือนพนักงาน พนักงาน 6 คน จ้างเท่าค่าแรงขั้นต่ำ เป็นคนสิงคโปร์ 5 คน คนมาเลเซีย 1 คน แต่ละคนจบ ม.ปลาย-ปวช. กะละ 2 คน จำนวน 2 กะ บวกสลับวันหยุด แต่ละคนทำงาน 5 วัน สลับกันหยุด ร้านเปิดทุกวัน 1 คนหมุนเวียน 1 คนเป็นผู้จัดการร้าน ค่าแรง 6 คน อยู่ที่ 9,600 เหรียญ (ประมาณ 249,600 บาท)
ค่าขนสินค้า เธอจะรับของจากหาดใหญ่มาขาย ยี่ปั๊วที่หาดใหญ่เป็นคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการขนสินค้าทางรถไฟมาที่สิงคโปร์ทั้งหมด ส่วนเมื่อสินค้ามาถึงสิงคโปร์จะส่งเข้าโกดัง จากโกดังส่งมาที่ร้าน เป็นขนส่ง 6 ล้อตู้ทึบ สามารถสต็อกสินค้าได้ทั้งร้าน ราคาต่อเที่ยวไม่เกิน 800 เหรียญ (ประมาณ 20,000 บาท)
ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต ประมาณเดือนละ 2,650 เหรียญ (ประมาณ 68,900 บาท)
รวมทั้งหมดค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านอยู่ที่ 5,925,400 บาท มีค่าจ้างพนักงานที่ตายตัว แต่มีค่าขนส่งสินค้า ค่าสาธารณูปโภคที่ขึ้น-ลง ซึ่งเธอมองว่าราคานี้เท่ากับการเปิดแฟรนไชส์ 7-11 ในไทย แต่ผลกำไรที่ได้ต่างกันมาก ๆ (การเปิดแฟรนไชส์ 7-11 ในไทย รวมเบ็ดเสร็จแล้วจะตกที่ประมาณ 4-5 ล้านบาท แต่กำไรได้เดือนละหลักแสนเท่านั้น เพราะบางรูปแบบต้องแบ่งกำไรให้เจ้าของแฟรนไชส์ด้วย)
หลังจากที่เปิดร้านเดือนแรก เธอก็ทำกำไรทันทีหลังหักค่าใช้จ่าย โดยกำไรอยู่ที่ 11 ล้านบาทนิด ๆ เดือนที่เปิดเดือนแรกนั้นคือเดือนมกราคม เป็นช่วงไฮซีซั่น สิงคโปร์เป็นเมืองท่า คนผ่านไปผ่านมาเยอะ แต่ช่วงที่ซบเซาคือเดือนเมษายน-พฤษภาคม กำไรอยู่ที่ 10 ล้านบาท และช่วงที่พีค ๆ คือช่วงหน้าหนาว เคยทำกำไรได้ถึง 14 ล้านบาท ช่วงนั้นต้องวิ่งเติมสต็อกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
ในส่วนเรื่องของภาษีที่มีคนบอกว่า ภาษีนิติบุคคลที่สิงคโปร์ถูกกว่าไทยจริงไหม เธอบอกว่า รายละเอียดตรงนี้ดีเทลค่อนข้างเยอะ เธอไม่ขอตอบ "แต่เราไม่ค่อยมายด์เรื่องภาษี เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว ภาษีไม่มีวันทำให้ธุรกิจล้มได้ค่ะ เพราะภาษียังไงก็ย่อมน้อยกว่าผลกำไร เราเลยเฉย ๆ แทบไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้เลยค่ะ"