หมอเตือน ของใช้ในบ้านที่เป็นพิษที่สุด ชี้คนมากมายใช้กันทุกวัน แนะนำให้โยนทิ้งไปซะ เผยมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากเต็มไปด้วยสารพิษ สูดเข้าไปไม่ดีแน่
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลาย ๆ บ้านจะประสบปัญหาเกี่ยวกับกลิ่นตกค้าง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นจากอาหารที่อบอวลข้ามคืน หรือแม้กระทั่งกลิ่นของสัตว์เลี้ยง หลายคนจึงลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์ปรับอากาศมาใช้ในบ้านเรือน เพื่อให้มั่นใจว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์จะหายไปและมีความหอมสดชื่นเข้ามาแทน
อย่างไรก็ตาม ดร.เปดี มิร์ดามาดี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ที่มักออกมาให้คำแนะนำด้านสุขภาพผ่าน TikTok ได้ออกมาเตือนถึงของภายในครัวเรือนชิ้นหนึ่ง ที่มีความเป็นพิษมากที่สุดในบ้าน ซึ่งของดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายใช้กันเป็นประจำทุกวัน และเขาแนะนำว่าควรจะหยุดใช้และโยนมันทิ้งไปทันที
ภาพจาก TikTok @drpedinaturalhealth
โดยวันที่ 8 มกราคม 2568 เว็บไซต์ Unilad รายงานว่า ในคลิปหนึ่งของ ดร.เปดี เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เขาอธิบายว่าของที่คนใช้กันในครัวเรือนบางอย่าง อาจเชื่อมโยงกับอาการคันตาหรืออาการภูมิแพ้ ในกรณีเลวร้ายที่สุดยังทำให้เกิดอาการหอบหืดรุนแรงด้วย ซึ่งของที่ว่านั้นก็คือ น้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊ก ที่ผู้คนใช้กันโดยทั่วไปในสหรัฐฯ
ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำนวนมาก มีสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านการหายใจ ซึ่งอากาศที่เราหายใจเข้าไปก็คือวิธีการง่ายและเร็วที่สุดที่จะนำสารพิษเข้ามาสู่ร่างกายของเรา
"หากคุณมีน้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊กใด ๆ ในบ้านหรือรถ ให้ปิดและโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการภูมิแพ้หรือหอบหืด" ดร.เปดี ระบุ
ข้อมูลจาก Indoor Doctor พบว่ามีผลการศึกษาวิจัย พบว่ามีน้ำหอมปรับอากาศถึง 86% ที่มีสารพาทาเลต (phthalates) ซึ่งอาจขัดขวางการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และทำให้เกิดปัญหาด้านการสืบพันธุ์ นอกจากนี้น้ำหอมปรับอากาศทั่ว ๆ ไป ก็มักจะมีฟอร์มาลดีไฮด์ ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งในจมูกและลำคอ รวมถึงมีสาร VOCs ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืดในเด็ก
ทั้งนี้ ดร.เปดี ย้ำว่า ใครที่ยังใช้น้ำหอมปรับอากาศแบบนี้ ให้ทำเพื่อตัวเองและครอบครัวด้วยการโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภายในบ้านมีโรคหอบหืดหรือปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ พร้อมกันนั้น ดร.เปดี ยังแนะนำทางเลือกอื่น ๆ สำหรับแก้ปัญหากลิ่นในบ้าน คือให้หันมาใช้เครื่องพ่นน้ำมันหอมระเหยแทน
ขอบคุณข้อมูลจาก Unilad
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลาย ๆ บ้านจะประสบปัญหาเกี่ยวกับกลิ่นตกค้าง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นจากอาหารที่อบอวลข้ามคืน หรือแม้กระทั่งกลิ่นของสัตว์เลี้ยง หลายคนจึงลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์ปรับอากาศมาใช้ในบ้านเรือน เพื่อให้มั่นใจว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์จะหายไปและมีความหอมสดชื่นเข้ามาแทน
อย่างไรก็ตาม ดร.เปดี มิร์ดามาดี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ที่มักออกมาให้คำแนะนำด้านสุขภาพผ่าน TikTok ได้ออกมาเตือนถึงของภายในครัวเรือนชิ้นหนึ่ง ที่มีความเป็นพิษมากที่สุดในบ้าน ซึ่งของดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายใช้กันเป็นประจำทุกวัน และเขาแนะนำว่าควรจะหยุดใช้และโยนมันทิ้งไปทันที
ภาพจาก TikTok @drpedinaturalhealth
โดยวันที่ 8 มกราคม 2568 เว็บไซต์ Unilad รายงานว่า ในคลิปหนึ่งของ ดร.เปดี เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เขาอธิบายว่าของที่คนใช้กันในครัวเรือนบางอย่าง อาจเชื่อมโยงกับอาการคันตาหรืออาการภูมิแพ้ ในกรณีเลวร้ายที่สุดยังทำให้เกิดอาการหอบหืดรุนแรงด้วย ซึ่งของที่ว่านั้นก็คือ น้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊ก ที่ผู้คนใช้กันโดยทั่วไปในสหรัฐฯ
ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำนวนมาก มีสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านการหายใจ ซึ่งอากาศที่เราหายใจเข้าไปก็คือวิธีการง่ายและเร็วที่สุดที่จะนำสารพิษเข้ามาสู่ร่างกายของเรา
"หากคุณมีน้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊กใด ๆ ในบ้านหรือรถ ให้ปิดและโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการภูมิแพ้หรือหอบหืด" ดร.เปดี ระบุ
ข้อมูลจาก Indoor Doctor พบว่ามีผลการศึกษาวิจัย พบว่ามีน้ำหอมปรับอากาศถึง 86% ที่มีสารพาทาเลต (phthalates) ซึ่งอาจขัดขวางการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และทำให้เกิดปัญหาด้านการสืบพันธุ์ นอกจากนี้น้ำหอมปรับอากาศทั่ว ๆ ไป ก็มักจะมีฟอร์มาลดีไฮด์ ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งในจมูกและลำคอ รวมถึงมีสาร VOCs ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืดในเด็ก
ทั้งนี้ ดร.เปดี ย้ำว่า ใครที่ยังใช้น้ำหอมปรับอากาศแบบนี้ ให้ทำเพื่อตัวเองและครอบครัวด้วยการโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภายในบ้านมีโรคหอบหืดหรือปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ พร้อมกันนั้น ดร.เปดี ยังแนะนำทางเลือกอื่น ๆ สำหรับแก้ปัญหากลิ่นในบ้าน คือให้หันมาใช้เครื่องพ่นน้ำมันหอมระเหยแทน
ขอบคุณข้อมูลจาก Unilad