ทรัมป์ ออกคำสั่ง จ่อปลดพนักงานแผนก DEI ของหน่วยงานรัฐทั้งหมด ให้หยุดงานโดยได้รับเงิน ก่อนถูกเลิกจ้าง
ภาพจาก JIM WATSON / POOL / AFP
แค่เพียงวันแรกที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ลงนามคำสั่งบริหาร ยกเลิกนโยบายต่าง ๆ ของ โจ ไบเดน ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลายในทุกภาคส่วนของรัฐบาล รวมถึงตั้งใจยุติโครงการ ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน หรือ DEI ซึ่งเขามองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ และตั้งใจจะฟื้นฟูรูปแบบการจ้างงานที่พิจารณาจากผลงานเป็นสำคัญ
ล่าสุด (22 มกราคม 2568) สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ฝ่ายบริหารของทรัมป์ ได้ส่งจดหมายถึงหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ เมื่อวันอังคาร (21 มกราคม) แจ้งให้พนักงานของโครงการ DEI ทั้งหมดในรัฐบาลกลาง หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้มีผลทันที ซึ่งนับตั้งแต่เวลา 17.00 น. วันพุธ (22 มกราคม) พนักงาน DEI ทั้งหมดในหน่วยงานรัฐบาลกลาง จะต้องอยู่ในสถานะหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง และจะถูกเลิกจ้างในที่สุด
ความเคลื่อนไหวนี้เป็นไปตามคำสั่งพิเศษทีทรัมป์ลงนามในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง นอกจากนี้สำนักงานบริหารบุคคล ของรัฐบาลกลาง สหรัฐฯ ยังสั่งให้หน่วยงานต่าง ๆ ลบเว็บเพจที่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ DEI ภายใต้กำหนดเวลาเดียวกัน ซึ่งพบว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลายแห่งได้ลบเว็บเพจดังกล่าวออกไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีการลงนามคำสั่ง เช่นเดียวกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องยกเลิกโปรแกรมฝึกอบรมใด ๆ ที่เกี่ยวกับ DEI
ขณะเดียวกัน
พนักงานรัฐบาลกลางหลายคนยังถูกขอให้รายงานตัวต่อสำนักงานบริหารบุคคลของทรัมป์
หากถูกสงสัยว่ามีการเปลี่ยนชื่อโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับ DEI
เพื่อบดบังวัตถุประสงค์ใด ๆ ภายใน 10 วัน
มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลที่จะตามมา
ทั้งนี้ ภายในวันที่ 23 มกราคม หน่วยงานของรัฐบาลกลางจะได้รับคำสั่งให้รวบรวมรายชื่อหน่วยงานและพนักงาน DEI โดยคาดว่าภายในวันศุกร์ (24 มกราคม) หน่วยงานทั้งหลายจะมีการจัดทำแผนเพื่อบังคับลดจำนวนพนักงานเหล่านี้ต่อไป
ไม่เพียงแค่การออกคำสั่งถึงหน่วยงานของรัฐบาลกลาง แต่ทรัมป์ยังสนับสนุนในภาคเอกชนปฏิบัติตามแนวคิดของรัฐบาลกลาง ในการยุติการเอื้อประโยชน์และให้สิทธิพิเศษแก่ DEI ซึ่งพบว่าหลาย ๆ บริษัท อย่าง Meta และ McDonald ได้ยกเลิกโครงการ DEI ของบริษัทไปแล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง
อนึ่ง ภายใต้คำสั่งที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ (21 มกราคม) ระบุว่า DEI คือนโยบายที่บ่อนทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ เนื่องจากการปฏิเสธ ทำให้เสื่อมลง และทำลายค่านิยมการทำงานหนักของแบบดั้มเดิมของชาวอเมริกัน ตลอดจนความเป็นเลิศและความสำเร็จส่วนบุคคล
ขอบคุณข้อมูลจาก AP, The New York Times
ภาพจาก JIM WATSON / POOL / AFP
แค่เพียงวันแรกที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ลงนามคำสั่งบริหาร ยกเลิกนโยบายต่าง ๆ ของ โจ ไบเดน ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลายในทุกภาคส่วนของรัฐบาล รวมถึงตั้งใจยุติโครงการ ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน หรือ DEI ซึ่งเขามองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ และตั้งใจจะฟื้นฟูรูปแบบการจ้างงานที่พิจารณาจากผลงานเป็นสำคัญ
ล่าสุด (22 มกราคม 2568) สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ฝ่ายบริหารของทรัมป์ ได้ส่งจดหมายถึงหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ เมื่อวันอังคาร (21 มกราคม) แจ้งให้พนักงานของโครงการ DEI ทั้งหมดในรัฐบาลกลาง หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้มีผลทันที ซึ่งนับตั้งแต่เวลา 17.00 น. วันพุธ (22 มกราคม) พนักงาน DEI ทั้งหมดในหน่วยงานรัฐบาลกลาง จะต้องอยู่ในสถานะหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง และจะถูกเลิกจ้างในที่สุด
ความเคลื่อนไหวนี้เป็นไปตามคำสั่งพิเศษทีทรัมป์ลงนามในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง นอกจากนี้สำนักงานบริหารบุคคล ของรัฐบาลกลาง สหรัฐฯ ยังสั่งให้หน่วยงานต่าง ๆ ลบเว็บเพจที่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ DEI ภายใต้กำหนดเวลาเดียวกัน ซึ่งพบว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลายแห่งได้ลบเว็บเพจดังกล่าวออกไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีการลงนามคำสั่ง เช่นเดียวกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องยกเลิกโปรแกรมฝึกอบรมใด ๆ ที่เกี่ยวกับ DEI
ทั้งนี้ ภายในวันที่ 23 มกราคม หน่วยงานของรัฐบาลกลางจะได้รับคำสั่งให้รวบรวมรายชื่อหน่วยงานและพนักงาน DEI โดยคาดว่าภายในวันศุกร์ (24 มกราคม) หน่วยงานทั้งหลายจะมีการจัดทำแผนเพื่อบังคับลดจำนวนพนักงานเหล่านี้ต่อไป
ไม่เพียงแค่การออกคำสั่งถึงหน่วยงานของรัฐบาลกลาง แต่ทรัมป์ยังสนับสนุนในภาคเอกชนปฏิบัติตามแนวคิดของรัฐบาลกลาง ในการยุติการเอื้อประโยชน์และให้สิทธิพิเศษแก่ DEI ซึ่งพบว่าหลาย ๆ บริษัท อย่าง Meta และ McDonald ได้ยกเลิกโครงการ DEI ของบริษัทไปแล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง
อนึ่ง ภายใต้คำสั่งที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ (21 มกราคม) ระบุว่า DEI คือนโยบายที่บ่อนทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ เนื่องจากการปฏิเสธ ทำให้เสื่อมลง และทำลายค่านิยมการทำงานหนักของแบบดั้มเดิมของชาวอเมริกัน ตลอดจนความเป็นเลิศและความสำเร็จส่วนบุคคล
ขอบคุณข้อมูลจาก AP, The New York Times