วิมานหนามของแท้ หนุ่มลงทุนเปิดคาเฟ่กับแฟน แต่สัมพันธ์เปลี่ยนหลังหมดเงิน โอดถูกไล่ออกจากบ้าน ซ้ำจะให้คนใหม่มาอยู่แทน เหลือแต่ตัวกับหนี้ 10 ล้าน โพสต์ระบายความอัดอั้นก่อนตาย
![หนุ่มเปิดค่าเฟ่กับแฟนเกือบ 30 ล้าน สุดท้ายถูกไล่-พาแฟนใหม่มาแทน ระบายเศร้าก่อนดับ หนุ่มเปิดค่าเฟ่กับแฟนเกือบ 30 ล้าน สุดท้ายถูกไล่-พาแฟนใหม่มาแทน ระบายเศร้าก่อนดับ]()
ภาพจาก อรรถรส
เป็นเหตุสลดที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในขณะนี้ กรณีเพจ เจ๊ม้อย v+ ออกมาเปิดเรื่องราววิมานหนามในชีวิตจริง ของคู่รัก LGBTQ ที่ชายคนหนึ่งร่วมลงทุนกับชายคนรัก แต่ถูกขับไล่หลังหมดตัว จึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเองหน้าคาเฟ่ที่สร้างด้วยกันมา ซึ่งก่อนที่จะจากลาได้พิมพ์ข้อความระบายความอัดอั้นไว้ ผ่านทางเพจของคาเฟ่
โดยทางเพจระบุว่า คู่รักชายรักชาย ลงทุนทำคาเฟ่ด้วยกันเกือบ 30 ล้าน ช่วงแรกรักทุกอย่างก็หวาน ความรักสวยงาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปใจคนย่อมเปลี่ยน เมื่อฝ่ายผู้เสียชีวิตเริ่มมีปัญหาเรื่องเงิน เมื่อเงินเริ่มหมดไปเรื่อย ๆ ความรักที่แฟนมีให้ก็เริ่มหมดลงพร้อมกัน
แฟนเริ่มตีตัวออกห่าง ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม พร้อมไล่ผู้เสียชีวิตออกเพื่อเอาคนใหม่มาอยู่ด้วยกัน ทำให้ผู้เสียชีวิตรับไม่ได้ที่ต้องสูญเสียคนรักและเสียเงินไป 22 ล้าน แถมยังถูกหยามด้วยการนำคนใหม่มาอยู่ด้วย ซึ่งจากความบอบช้ำทำให้เขาตัดสินใจจบชีวิตหน้าไร่
ขณะที่ทางเพจ อรรถรส ได้โพสต์สรุปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดังนี้
- คู่รัก LGBTQ ร่วมลงทุนเปิดคาเฟ่ที่ จ.ลพบุรี ลงทุนด้วยกันกว่า 30 ล้านบาท ใช้ชีวิตในฐานะคนรักและหุ้นส่วน
- เมื่อฝ่ายรุกเริ่มไม่มีเงิน ความสัมพันธ์เริ่มเปลี่ยน ฝ่ายรับที่เคยดูแล กลับไล่ออกจากบ้าน พร้อมจะให้แฟนใหม่เข้ามาอยู่แทน
- ฝ่ายรุกรับไม่ได้ที่สูญเสียทั้งเงิน 22 ล้านและความรัก สุดท้ายตัดสินใจจบชีวิตหน้าคาเฟ่ เพื่อให้เป็น "ภาพจำสุดท้าย" แด่คนรักและญาติที่มีส่วนผลักไส
- ผู้เสียชีวิตโพสต์ข้อความไว้ 11 EP ก่อนเสียชีวิต เล่าถึงเรื่องราวตั้งแต่เริ่มคบกับเจ้าของสวนไปจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย
- ผู้เสียชีวิต เริ่มต้นเล่าว่าเขาเริ่มคบกับเจ้าของสวนตั้งแต่ 14 มีนาคม 2561 โดยรู้จักกันในช่วงชีวิตที่กำลังย่ำแย่
- ผู้เสียชีวิตเล่าว่ารู้จักเจ้าของสวนจากการไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กันแบบ FWB และเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของไร่ด้วย
- วันแรกที่พบ เจ้าของสวนชงกาแฟให้ด้วยความตั้งใจ และแม้จะไม่ได้ขอเบอร์ แต่ก็หยิบนามบัตรกลับมา ก่อนจะเริ่มติดต่อกัน
- ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งคู่ได้นัดไปเที่ยวเกาะล้านด้วยกัน ก่อนกลับจากทริป เจ้าของสวนมานอนบ้านของผู้เสียชีวิต และได้มีความสัมพันธ์กันครั้งแรก
- ผู้เสียชีวิตเล่าว่าความสัมพันธ์ค่อย ๆ พัฒนา และเริ่มพิสูจน์ความรักผ่านการที่อีกฝ่ายให้รหัสโทรศัพท์และบัญชีธนาคาร ซึ่งสร้างความประทับใจอย่างมาก
- ภายหลังไม่นาน เขาได้รับข่าวดีเรื่องงานใหญ่ด้านกฎหมาย-บัญชี งานที่ปรึกษางานครั้งนั้นมีมูลค่า 4 ล้านบาท ใช้เวลาทำเพียง 3 เดือน และต่อมาเขาได้รับงานต่อเนื่องจากลูกค้ารายนี้ รวมรายได้กว่า 15 ล้านบาทภายใน 3 ปี
- ด้วยรายได้เหล่านั้น เขาจึงเริ่มลงทุนสร้าง "บ้านขาว" กลางสวนของแฟน ซึ่งตั้งอยู่ริมลำธาร และต่อมายกให้พ่อแม่ฝ่ายแฟนเป็นผู้อยู่อาศัย
- ผู้เสียชีวิตเล่าว่าก่อนที่จะได้งานใหญ่ เขาเห็นศักยภาพของสวนเฟิร์น จึงเสนอแผนธุรกิจให้แฟนพัฒนาเป็นสวนเฟิร์นขนาดใหญ่ โดยเขาเป็นผู้จัดทำ Feasibility Study และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด จนแฟนยอมกู้เงินจาก ธกส. ประมาณ 3.5 ล้านบาท ขยายสวนจาก 4 ไร่ เป็น 16 ไร่
- แม้รายได้จะมากกว่ารายจ่ายเล็กน้อย แต่หากรวมดอกเบี้ยที่แฟนต้องจ่าย จะถือว่ายังขาดทุนอยู่ เพื่อหารายได้เพิ่ม ทั้งคู่ตัดสินใจเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือในสวน หลังจากไปเรียนสูตรที่มีค่าใช้จ่ายราว 40,000 บาท โดยผู้เสียชีวิตเป็นคนเตรียมเงินสนับสนุนให้ทั้งหมด
- ผู้เสียชีวิตเริ่มลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการสร้าง "บ้านขาว" งบเดิม 6-7 แสน แต่สุดท้ายบานปลายเกิน 1 ล้านบาท
![หนุ่มเปิดค่าเฟ่กับแฟนเกือบ 30 ล้าน สุดท้ายถูกไล่-พาแฟนใหม่มาแทน ระบายเศร้าก่อนดับ หนุ่มเปิดค่าเฟ่กับแฟนเกือบ 30 ล้าน สุดท้ายถูกไล่-พาแฟนใหม่มาแทน ระบายเศร้าก่อนดับ]()
ภาพจาก เจ๊ม้อย v+
- ต่อมามีการขยายสวน ปรับปรุงร้านกาแฟ รื้อบ้านพี่สาวของแฟน และปลูกบ้านใหม่ให้ รวมทั้งสร้างบ้านให้พนักงาน โดยใช้งบร่วมหลายล้านบาท
- รายจ่ายสะสมครอบคลุมหลายด้าน เช่น ค่าขยายโรงเรือนเฟิร์น (3.5 ล้าน), ร้านกาแฟ (4-5 ล้าน), บ้านขาว (1.2 ล้าน), ร้านก๋วยเตี๋ยว (3 ล้าน), น้ำตก-สวน-สะพาน (รวมกว่า 2.5 ล้าน), บ้านฟาร์มนก (1.2 ล้าน) และค่าต้นไม้ด่างอีกเกือบ 2 ล้าน รวมต้นทุนทั้งหมดประมาณ 27.5 ล้านบาท
- ผู้เสียชีวิตสรุปยอดเงินลงทุนรวม 27 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้จากฝั่งแฟน 7.5 ล้านบาท และจากฝั่งตนเอง 19.5 ล้านบาท เงินที่ลงไปนั้นเฉพาะในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ และสวนเฟิร์นเท่านั้น
- ผู้เสียชีวิตตอบโต้กรณีที่อีกฝ่ายใช้เอกสารการกู้เงินมายืนยันความเป็นเจ้าของอาคารบางส่วนในไร่ โดยระบุว่า แม้จะมีเงินกู้ 7.5 ล้านบาทเข้าบัญชีเขาจริง แต่ตลอด 7 ปี เงินลงทุนรวม (CAPEX + EXPENSE) ของไร่สูงถึง 27 ล้านบาท
- ย้ำว่าเงินกู้ 9 ล้านบาทนั้น ต้องหักหนี้เก่าออกไปก่อน และเงินฝั่งเขาที่ลงไปตลอดหลายปีควรถูกพูดถึงบ้าง ไม่ใช่สื่อสารเพียงฝั่งเดียว
- เขาระบุว่าแฟนเป็นผู้สั่ง ส่วนตัวเองเป็นผู้จ่ายแทบทุกอย่าง ตั้งแต่บ้านของพี่สาวอีกฝ่าย บ้านฟาร์มนก-ฟาร์มเห็ด รั้วบ้าน น้ำตก ต้นไม้ และม้าประดับบารมีทั้ง 9 ตัว
- ผู้เสียชีวิตแจ้งว่าได้ขนย้ายของใช้และอุปกรณ์ฟาร์มเห็ดออกจากไร่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 สรุปการลงทุนในฟาร์มเห็ด ผู้เสียชีวิตลงทุน 2.7 ล้านบาท ฝ่ายแฟนเก่าร่วมลงทุนอีกประมาณ 200,000 บาท รวมเป็น 2.9 ล้านบาท หลังหักค่าแรง ผู้เสียชีวิตเหลือเพียงเศษเหล็กมูลค่าประมาณ 50,000 บาท ส่วนอีกฝ่ายไม่แสดงเจตจำนงในการขอรับส่วนแบ่ง
- ช่วงครึ่งหลังปี 2567 ผู้เสียชีวิตวิเคราะห์ว่าไร่ฯ ขาดทุนเฉลี่ยเดือนละ 110,000 บาท ส่วนงานที่ปรึกษาธุรกิจเริ่มเล็กลง เพราะทุ่มเวลาให้ไร่มากเกินไป ลูกค้าเก่าที่เคยจ้างหลักล้าน เหลือเพียงแสนต้น ๆ ทำให้รายได้ส่วนตัวลดลง
- ผู้เสียชีวิตร่วมวางแผนกับแฟน เปิดโครงการเพาะเห็ดขนาดใหญ่ ประมาณการแล้วต้องใช้เงินลงทุน 3 ล้านบาท แต่ผู้เสียชีวิตไม่มีเงินสดสำรอง ต้องใช้ชื่อพี่ชายหรือบริษัทครอบครัวกู้เงิน จึงเสนอให้ทำ "สัญญาผูกพัน 10 ปี" เพื่อไม่ให้ถูกไล่ออกจากไร่
- สาระของสัญญา ยินดีลงทุนและยกทรัพย์สินทั้งหมดให้อีกฝ่าย หากไม่ถูกขับไล่จากที่ดินภายใน 10 ปี จากนั้นจะจากไปโดยไม่ขออะไร แต่ฝั่นนั้นไม่ยอมอ่านเลย และโกรธเพราะมองว่าผู้เสียชีวิตไม่เชื่อมั่นในคำพูดของตน กลายเป็นปมสะสมตั้งแต่เดือน กันยายน-ธันวาคม 2567
- 29 ธันวาคม 2567 ทั้งสองฝ่ายตกลงแยกบ้าน แต่ยังคงทำธุรกิจร่วมกันต่อ
- ช่วงปลายปีถึงต้นมีนาคม 2568 อีกฝ่ายเริ่มคบหากับคนรักใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวพรรณ
- 22 มีนาคม เกิดการทะเลาะกันอีกครั้งเกี่ยวกับแม่บ้าน นำไปสู่การลงบันทึกประจำวันในวันที่ 23 มีนาคม และมีคำท้าทายจากฝั่งนั้นให้ไปฟ้องร้องหากต้องการเอาทรัพย์คืน
- ผู้เสียชีวิตทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์ทั้งหมดได้ดำเนินมาถึงจุดที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
- ผู้เสียชีวิตย้ำว่าเนื้อหาทั้งหมดเป็น "ข้อเท็จจริง" ที่เขียนจากความรู้สึกเจ็บปวด โกรธ และผิดหวัง ที่คนรักกันสามารถทอดทิ้งกันได้ขนาดนั้น แม้จะเคยตั้งใจอยู่กับทรัพย์สินที่สร้างร่วมกันจนวันตาย แต่กลับถูก "เขี่ยออก" เหลือเพียงตัวเปล่าและหนี้ 10 ล้านบาท ทำให้รู้สึกหมดศรัทธาในความรักและศักดิ์ศรี
- เขายืนยันว่า "ไฟแห่งความโกรธดับลงแล้ว" พร้อมให้อภัยและอโหสิกรรมให้ทุกคน พร้อมทิ้งข้อความถึงครอบครัว เพื่อนสนิท และคนที่เขารักทุกคน พร้อมมอบรหัสผ่าน ข้อมูลบริษัท และขอให้ดูแลกันต่อแทนเขา
- ผู้เสียชีวิตยอมรับว่าไม่เหลือเรี่ยวแรงจะไปต่อ ขออโหสิกรรมต่อทุกชีวิตที่เกี่ยวข้อง พร้อมบอกให้ทุกคนอย่าเสียใจ เพราะสุดท้าย ทุกคนก็ต้องกลับไปสู่ที่เดิม

ภาพจาก อรรถรส
เป็นเหตุสลดที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในขณะนี้ กรณีเพจ เจ๊ม้อย v+ ออกมาเปิดเรื่องราววิมานหนามในชีวิตจริง ของคู่รัก LGBTQ ที่ชายคนหนึ่งร่วมลงทุนกับชายคนรัก แต่ถูกขับไล่หลังหมดตัว จึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเองหน้าคาเฟ่ที่สร้างด้วยกันมา ซึ่งก่อนที่จะจากลาได้พิมพ์ข้อความระบายความอัดอั้นไว้ ผ่านทางเพจของคาเฟ่
โดยทางเพจระบุว่า คู่รักชายรักชาย ลงทุนทำคาเฟ่ด้วยกันเกือบ 30 ล้าน ช่วงแรกรักทุกอย่างก็หวาน ความรักสวยงาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปใจคนย่อมเปลี่ยน เมื่อฝ่ายผู้เสียชีวิตเริ่มมีปัญหาเรื่องเงิน เมื่อเงินเริ่มหมดไปเรื่อย ๆ ความรักที่แฟนมีให้ก็เริ่มหมดลงพร้อมกัน
แฟนเริ่มตีตัวออกห่าง ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม พร้อมไล่ผู้เสียชีวิตออกเพื่อเอาคนใหม่มาอยู่ด้วยกัน ทำให้ผู้เสียชีวิตรับไม่ได้ที่ต้องสูญเสียคนรักและเสียเงินไป 22 ล้าน แถมยังถูกหยามด้วยการนำคนใหม่มาอยู่ด้วย ซึ่งจากความบอบช้ำทำให้เขาตัดสินใจจบชีวิตหน้าไร่
ขณะที่ทางเพจ อรรถรส ได้โพสต์สรุปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดังนี้
- คู่รัก LGBTQ ร่วมลงทุนเปิดคาเฟ่ที่ จ.ลพบุรี ลงทุนด้วยกันกว่า 30 ล้านบาท ใช้ชีวิตในฐานะคนรักและหุ้นส่วน
- เมื่อฝ่ายรุกเริ่มไม่มีเงิน ความสัมพันธ์เริ่มเปลี่ยน ฝ่ายรับที่เคยดูแล กลับไล่ออกจากบ้าน พร้อมจะให้แฟนใหม่เข้ามาอยู่แทน
- ฝ่ายรุกรับไม่ได้ที่สูญเสียทั้งเงิน 22 ล้านและความรัก สุดท้ายตัดสินใจจบชีวิตหน้าคาเฟ่ เพื่อให้เป็น "ภาพจำสุดท้าย" แด่คนรักและญาติที่มีส่วนผลักไส
- ผู้เสียชีวิตโพสต์ข้อความไว้ 11 EP ก่อนเสียชีวิต เล่าถึงเรื่องราวตั้งแต่เริ่มคบกับเจ้าของสวนไปจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย
- ผู้เสียชีวิต เริ่มต้นเล่าว่าเขาเริ่มคบกับเจ้าของสวนตั้งแต่ 14 มีนาคม 2561 โดยรู้จักกันในช่วงชีวิตที่กำลังย่ำแย่
- ผู้เสียชีวิตเล่าว่ารู้จักเจ้าของสวนจากการไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กันแบบ FWB และเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของไร่ด้วย
- วันแรกที่พบ เจ้าของสวนชงกาแฟให้ด้วยความตั้งใจ และแม้จะไม่ได้ขอเบอร์ แต่ก็หยิบนามบัตรกลับมา ก่อนจะเริ่มติดต่อกัน
- ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งคู่ได้นัดไปเที่ยวเกาะล้านด้วยกัน ก่อนกลับจากทริป เจ้าของสวนมานอนบ้านของผู้เสียชีวิต และได้มีความสัมพันธ์กันครั้งแรก
- ผู้เสียชีวิตเล่าว่าความสัมพันธ์ค่อย ๆ พัฒนา และเริ่มพิสูจน์ความรักผ่านการที่อีกฝ่ายให้รหัสโทรศัพท์และบัญชีธนาคาร ซึ่งสร้างความประทับใจอย่างมาก
- ภายหลังไม่นาน เขาได้รับข่าวดีเรื่องงานใหญ่ด้านกฎหมาย-บัญชี งานที่ปรึกษางานครั้งนั้นมีมูลค่า 4 ล้านบาท ใช้เวลาทำเพียง 3 เดือน และต่อมาเขาได้รับงานต่อเนื่องจากลูกค้ารายนี้ รวมรายได้กว่า 15 ล้านบาทภายใน 3 ปี
- ด้วยรายได้เหล่านั้น เขาจึงเริ่มลงทุนสร้าง "บ้านขาว" กลางสวนของแฟน ซึ่งตั้งอยู่ริมลำธาร และต่อมายกให้พ่อแม่ฝ่ายแฟนเป็นผู้อยู่อาศัย
- ผู้เสียชีวิตเล่าว่าก่อนที่จะได้งานใหญ่ เขาเห็นศักยภาพของสวนเฟิร์น จึงเสนอแผนธุรกิจให้แฟนพัฒนาเป็นสวนเฟิร์นขนาดใหญ่ โดยเขาเป็นผู้จัดทำ Feasibility Study และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด จนแฟนยอมกู้เงินจาก ธกส. ประมาณ 3.5 ล้านบาท ขยายสวนจาก 4 ไร่ เป็น 16 ไร่
- แม้รายได้จะมากกว่ารายจ่ายเล็กน้อย แต่หากรวมดอกเบี้ยที่แฟนต้องจ่าย จะถือว่ายังขาดทุนอยู่ เพื่อหารายได้เพิ่ม ทั้งคู่ตัดสินใจเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือในสวน หลังจากไปเรียนสูตรที่มีค่าใช้จ่ายราว 40,000 บาท โดยผู้เสียชีวิตเป็นคนเตรียมเงินสนับสนุนให้ทั้งหมด
- ผู้เสียชีวิตเริ่มลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการสร้าง "บ้านขาว" งบเดิม 6-7 แสน แต่สุดท้ายบานปลายเกิน 1 ล้านบาท

ภาพจาก เจ๊ม้อย v+
- ต่อมามีการขยายสวน ปรับปรุงร้านกาแฟ รื้อบ้านพี่สาวของแฟน และปลูกบ้านใหม่ให้ รวมทั้งสร้างบ้านให้พนักงาน โดยใช้งบร่วมหลายล้านบาท
- รายจ่ายสะสมครอบคลุมหลายด้าน เช่น ค่าขยายโรงเรือนเฟิร์น (3.5 ล้าน), ร้านกาแฟ (4-5 ล้าน), บ้านขาว (1.2 ล้าน), ร้านก๋วยเตี๋ยว (3 ล้าน), น้ำตก-สวน-สะพาน (รวมกว่า 2.5 ล้าน), บ้านฟาร์มนก (1.2 ล้าน) และค่าต้นไม้ด่างอีกเกือบ 2 ล้าน รวมต้นทุนทั้งหมดประมาณ 27.5 ล้านบาท
- ผู้เสียชีวิตสรุปยอดเงินลงทุนรวม 27 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้จากฝั่งแฟน 7.5 ล้านบาท และจากฝั่งตนเอง 19.5 ล้านบาท เงินที่ลงไปนั้นเฉพาะในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ และสวนเฟิร์นเท่านั้น
- ผู้เสียชีวิตตอบโต้กรณีที่อีกฝ่ายใช้เอกสารการกู้เงินมายืนยันความเป็นเจ้าของอาคารบางส่วนในไร่ โดยระบุว่า แม้จะมีเงินกู้ 7.5 ล้านบาทเข้าบัญชีเขาจริง แต่ตลอด 7 ปี เงินลงทุนรวม (CAPEX + EXPENSE) ของไร่สูงถึง 27 ล้านบาท
- ย้ำว่าเงินกู้ 9 ล้านบาทนั้น ต้องหักหนี้เก่าออกไปก่อน และเงินฝั่งเขาที่ลงไปตลอดหลายปีควรถูกพูดถึงบ้าง ไม่ใช่สื่อสารเพียงฝั่งเดียว
- เขาระบุว่าแฟนเป็นผู้สั่ง ส่วนตัวเองเป็นผู้จ่ายแทบทุกอย่าง ตั้งแต่บ้านของพี่สาวอีกฝ่าย บ้านฟาร์มนก-ฟาร์มเห็ด รั้วบ้าน น้ำตก ต้นไม้ และม้าประดับบารมีทั้ง 9 ตัว
- ผู้เสียชีวิตแจ้งว่าได้ขนย้ายของใช้และอุปกรณ์ฟาร์มเห็ดออกจากไร่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 สรุปการลงทุนในฟาร์มเห็ด ผู้เสียชีวิตลงทุน 2.7 ล้านบาท ฝ่ายแฟนเก่าร่วมลงทุนอีกประมาณ 200,000 บาท รวมเป็น 2.9 ล้านบาท หลังหักค่าแรง ผู้เสียชีวิตเหลือเพียงเศษเหล็กมูลค่าประมาณ 50,000 บาท ส่วนอีกฝ่ายไม่แสดงเจตจำนงในการขอรับส่วนแบ่ง
- ช่วงครึ่งหลังปี 2567 ผู้เสียชีวิตวิเคราะห์ว่าไร่ฯ ขาดทุนเฉลี่ยเดือนละ 110,000 บาท ส่วนงานที่ปรึกษาธุรกิจเริ่มเล็กลง เพราะทุ่มเวลาให้ไร่มากเกินไป ลูกค้าเก่าที่เคยจ้างหลักล้าน เหลือเพียงแสนต้น ๆ ทำให้รายได้ส่วนตัวลดลง
- ผู้เสียชีวิตร่วมวางแผนกับแฟน เปิดโครงการเพาะเห็ดขนาดใหญ่ ประมาณการแล้วต้องใช้เงินลงทุน 3 ล้านบาท แต่ผู้เสียชีวิตไม่มีเงินสดสำรอง ต้องใช้ชื่อพี่ชายหรือบริษัทครอบครัวกู้เงิน จึงเสนอให้ทำ "สัญญาผูกพัน 10 ปี" เพื่อไม่ให้ถูกไล่ออกจากไร่
- สาระของสัญญา ยินดีลงทุนและยกทรัพย์สินทั้งหมดให้อีกฝ่าย หากไม่ถูกขับไล่จากที่ดินภายใน 10 ปี จากนั้นจะจากไปโดยไม่ขออะไร แต่ฝั่นนั้นไม่ยอมอ่านเลย และโกรธเพราะมองว่าผู้เสียชีวิตไม่เชื่อมั่นในคำพูดของตน กลายเป็นปมสะสมตั้งแต่เดือน กันยายน-ธันวาคม 2567
- 29 ธันวาคม 2567 ทั้งสองฝ่ายตกลงแยกบ้าน แต่ยังคงทำธุรกิจร่วมกันต่อ
- ช่วงปลายปีถึงต้นมีนาคม 2568 อีกฝ่ายเริ่มคบหากับคนรักใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวพรรณ
- 22 มีนาคม เกิดการทะเลาะกันอีกครั้งเกี่ยวกับแม่บ้าน นำไปสู่การลงบันทึกประจำวันในวันที่ 23 มีนาคม และมีคำท้าทายจากฝั่งนั้นให้ไปฟ้องร้องหากต้องการเอาทรัพย์คืน
- ผู้เสียชีวิตทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์ทั้งหมดได้ดำเนินมาถึงจุดที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
- ผู้เสียชีวิตย้ำว่าเนื้อหาทั้งหมดเป็น "ข้อเท็จจริง" ที่เขียนจากความรู้สึกเจ็บปวด โกรธ และผิดหวัง ที่คนรักกันสามารถทอดทิ้งกันได้ขนาดนั้น แม้จะเคยตั้งใจอยู่กับทรัพย์สินที่สร้างร่วมกันจนวันตาย แต่กลับถูก "เขี่ยออก" เหลือเพียงตัวเปล่าและหนี้ 10 ล้านบาท ทำให้รู้สึกหมดศรัทธาในความรักและศักดิ์ศรี
- เขายืนยันว่า "ไฟแห่งความโกรธดับลงแล้ว" พร้อมให้อภัยและอโหสิกรรมให้ทุกคน พร้อมทิ้งข้อความถึงครอบครัว เพื่อนสนิท และคนที่เขารักทุกคน พร้อมมอบรหัสผ่าน ข้อมูลบริษัท และขอให้ดูแลกันต่อแทนเขา
- ผู้เสียชีวิตยอมรับว่าไม่เหลือเรี่ยวแรงจะไปต่อ ขออโหสิกรรมต่อทุกชีวิตที่เกี่ยวข้อง พร้อมบอกให้ทุกคนอย่าเสียใจ เพราะสุดท้าย ทุกคนก็ต้องกลับไปสู่ที่เดิม