เส้นทางกว่า 4 ทศวรรษแห่งความโชติช่วงชัชวาลของพลังงานไทย จากระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เสริมความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมาเกือบ 50 ปี
ในอดีตประเทศไทยเคยพึ่งพาการพัฒนาเศรษฐกิจจากภาคเกษตรเป็นหลัก แต่เมื่อก๊าซธรรมชาติถูกค้นพบในอ่าวไทย จึงได้มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานที่สำคัญ คือการวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติและการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปลี่ยนแปลงประเทศให้สามารถพึ่งพาตนเองได้จากทรัพยากรในประเทศ สร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศ และเป็นพลังงานสะอาดที่ลดมลภาวะทางอากาศให้คนไทย นี่คือเรื่องราวของไฟแห่งความโชติช่วงชัชวาลที่เริ่มต้นจากท้องทะเล และเปลี่ยนโฉมประเทศไทยไปตลอดกาล
การใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย
การเจาะสำรวจปิโตรเลียมในประเทศไทยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2464 แต่ก้าวเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในปี พ.ศ. 2510 เมื่อรัฐบาลตัดสินใจให้สัมปทานการสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทย และออกพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 การค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติและการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2524 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเริ่มใช้ทรัพยากรพลังงานในประเทศอย่างจริงจัง โดยมีวิกฤตราคาน้ำมันโลกเป็นแรงผลักดันให้ต้องหาพลังงานทดแทนจากภายในประเทศ
ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
เนื่องจากแหล่งผลิตก๊าซฯ และพื้นที่ใช้งานไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน การขนส่งด้วยระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
- 19 มิถุนายน พ.ศ. 2522 คณะรัฐมนตรีมีมติให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) รับผิดชอบโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเลเส้นแรกของประเทศ โดยท่อเริ่มจากแหล่งก๊าซเอราวัณในอ่าวไทย ไปขึ้นฝั่งที่บ้านหนองแฟบ ต.มาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ระยะทางรวม 425 กิโลเมตร ถือเป็นท่อส่งก๊าซใต้ทะเลยาวที่สุดในโลก ณ เวลานั้น เป้าหมายคือการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ผลิตไฟฟ้าและใช้ในภาคอุตสาหกรรมบนบก
-
พิธีเปิดวาล์ว “เปลวไฟแห่งความโชติช่วงชัชวาล”
12 กันยายน พ.ศ. 2524 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานในพิธีเปิดวาล์วส่งก๊าซธรรมชาติอย่างเป็นทางการ ณ สถานีส่งก๊าซฯ ชายฝั่งของ ปตท. นับเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณเข้าสู่สถานีรับก๊าซ จุดเริ่มของการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติอย่างจริงจังในประเทศไทย
การเปลี่ยนผ่านสู่ประเทศอุตสาหกรรม
ก่อนหน้าการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ ประเทศไทยพึ่งพาการขยายตัวของภาคเกษตรเป็นหลัก ซึ่งนำไปสู่การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้อย่างต่อเนื่อง ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยจึงเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อเริ่มมีการใช้ทรัพยากรก๊าซธรรมชาติในประเทศอย่างจริงจัง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ โดยให้อุตสาหกรรมเป็นแกนหลักควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพภาคเกษตร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น ปิโตรเคมีจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างโครงสร้างการผลิตที่แข็งแกร่งภายในประเทศ
จุดประกายเศรษฐกิจใหม่ : จากก๊าซสู่ปิโตรเลียม
ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเป็นก๊าซเปียก ซึ่งประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนหลากชนิด เช่น อีเทน โพรเพน และบิวเทน ที่สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ การจัดตั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ไม่เพียงปรับปรุงคุณภาพก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย แต่โรงแยกก๊าซธรรมชาติยังช่วยเพิ่มมูลค่าก๊าซธรรมชาติ เป็นรากฐานให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยเติบโตอย่างมั่นคง โดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2525 ที่มาบตาพุด และเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2528 นำไปสู่โครงการพัฒนาปิโตรเคมีระยะที่ 1 ต่อยอดสู่โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program)
โครงสร้างพื้นฐานพลังงานไทย
ส่งต่อพลังสู่ทุกภูมิภาค
ในปัจจุบัน ระบบท่อส่งก๊าซฯ ของ ปตท. มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 4,568 กิโลเมตร แบ่งเป็นท่อส่งในทะเลประมาณ 2,133 กิโลเมตร และท่อบนบกประมาณ 2,435 กิโลเมตร (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) ท่อเหล่านี้เชื่อมโยงจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและจากประเทศเมียนมา ส่งไปยังภาคอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า และผู้ใช้ปลายทางทั่วประเทศ โดยมี “ศูนย์ปฏิบัติการชลบุรี” เป็นศูนย์กลางควบคุมระบบอย่างอัตโนมัติผ่าน SCADA ครอบคลุมการดูแลทั้งระบบใน 22 จังหวัด นอกจากท่อส่งหลักยังมีการขยายโครงข่ายท่อย่อยไปยังโรงงานอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ ส่งเสริมให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเตาและดีเซล นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิตแล้วยังลดปัญหามลพิษทางอากาศ ด้วยคุณสมบัติการเผาไหม้ที่สะอาดและมีประสิทธิภาพสูง
โรงแยกก๊าซฯ : สร้างมูลค่า
เสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทย
อีกหนึ่งโครงสร้างสำคัญคือ “โรงแยกก๊าซธรรมชาติ” ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ 40 ปีก่อน ในปัจจุบัน ปตท. มีโรงแยกก๊าซฯ รวม 6 หน่วย (5 หน่วยตั้งอยู่ใน จ.ระยอง และอีก 1 หน่วยใน จ.นครศรีธรรมราช) ทั้งนี้ โรงแยกก๊าซฯ ทำหน้าที่แยกองค์ประกอบของก๊าซธรรมชาติ เช่น อีเทน โพรเพน บิวเทน ฯลฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้นน้ำและกลางน้ำ ส่งต่อให้กับอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น การผลิตเม็ดพลาสติก บรรจุภัณฑ์ เสื้อผ้า ไปจนถึงชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ในมิติเศรษฐกิจ การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ก่อให้เกิดเม็ดเงินมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจไทย เช่น
- มูลค่าการลงทุนสะสมราว 1.25 ล้านล้านบาท (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990-2021)
- รายได้จากอุตสาหกรรมต้นน้ำและกลางน้ำ 836,000 ล้านบาท (คิดเป็น 5.2% ของ GDP)
- สร้างการจ้างงานรวมกว่า 414,000 ตำแหน่ง
- เกิด SME ที่เกี่ยวข้องมากกว่า 3,000 ราย
- มีมูลค่าการส่งออกจากปลายน้ำถึง 486,000 ล้านบาท (คิดเป็น 5.7% ของการส่งออกไทย)
กรณีของ จ.ระยอง ถือเป็นตัวอย่างชัดเจน เพราะสามารถเติบโตจนเป็นจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) สูงที่สุดของประเทศอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่แข็งแรงสามารถยกระดับการพัฒนาได้อย่างแท้จริง
กว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ความก้าวหน้าของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นผลลัพธ์จากการวางรากฐานอย่างมียุทธศาสตร์ ทั้งจากภาครัฐที่มองเห็นความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และจากภาคเอกชนที่ร่วมขับเคลื่อนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมรองรับโอกาสใหม่ในโลกธุรกิจยุคเปลี่ยนผ่าน พลังงานที่เคยจุดประกายการพัฒนาในอดีตจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสำเร็จในวันวาน แต่เป็นพลังส่งต่อสู่อนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และเปี่ยมด้วยศักยภาพของประเทศไทยต่อไป






