การยืนยันความเป็นมนุษย์ในโลกดิจิทัล ช่วยป้องกันบอตและมิจฉาชีพได้อย่างไร ? เบื้องหลังคือกระบวนการแปลงภาพชีวมิติให้กลายเป็นรหัสตัวเลข แล้วทำไมถึงบอกว่าปลอดภัยกว่าที่คิด ? ไปหาคำตอบกันในบทความนี้เลย !
ทุกวันนี้โลกออนไลน์ไม่ได้เต็มไปด้วยผู้ใช้งานที่เป็นมนุษย์จริง ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีทั้งบอต มิจฉาชีพ หรือแม้กระทั่ง AI ที่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน แต่ปัญหาคือ เราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าอีกฝั่งของหน้าจอนั้นคือคนจริง ๆ ? และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้การยืนยันความเป็นมนุษย์กลายเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ป้องกันการสวมรอย และรับมือกับภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ในปัจจุบัน รวมถึงเหตุอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเราไม่สามารถคาดเดาได้เลย
เมื่อบอตและมิจฉาชีพเกลื่อนโลกออนไลน์
ปัญหาที่หลาย ๆ คนสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบันก็คือการแฝงตัวของบอตและมิจฉาชีพบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งมีคนตกเป็นเหยื่อจำนวนมากและออกข่าวให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น
-
การสวมรอยออนไลน์ มีทั้งบัญชีปลอมในโซเชียลมีเดีย สวมรอยเป็นเพจและคนดัง เพื่อหลอกขายสินค้า เมื่อจ่ายเงินแล้วกลับส่งของปลอมหรือไม่ตรงปกให้
-
โกงตั๋วคอนเสิร์ต ตัวอย่างเช่นกรณีแฟนคลับวงเกาหลีชื่อดังที่ถูกมิจฉาชีพหลอกจองบัตรแล้วบล็อกหนี หรือคดีสาววัย 23 ปี จ้างคนเปิดบัญชีม้าเพื่อโกงบัตรคอนเสิร์ตและรีเซล
-
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้เทคนิคสวมรอยเจ้าหน้าที่รัฐด้วย Deepfake ปลอมแปลงใบหน้าขณะวิดีโอคอล หลอกให้เหยื่อโอนเงิน มีผู้คนมากมายที่ถูกลวงสูญเงินถึงหลักแสน-ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ
-
บอตแฝงตัวบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสแปมโฆษณาเว็บพนัน ส่งลิงก์หลอกลวงทางข้อความแชต หรือบอตกดจองตั๋วคอนเสิร์ตและสินค้าต่าง ๆ จนขาดตลาด เพื่อนำไปรีเซลในราคาที่แพงขึ้นหลายเท่าตัว
จากรายงานล่าสุดพบว่าตั้งแต่ปี 2565 มีคนไทยถูกโกงออนไลน์ไปรวมกว่า 80,000 ล้านบาท และเพียงปี 2567 ปีเดียว ก็มีการตรวจพบยอดการหลอกลวงทางสายโทรศัพท์และข้อความ SMS สูงถึง 168 ล้านครั้ง (อ้างอิงจาก tnnthailand.com) ซึ่งกรณีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การพิสูจน์เพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลจริงนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและควรต้องมีแล้ว
เทคโนโลยียืนยันความเป็นมนุษย์ทำงานยังไง ?
หนึ่งในแนวทางที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้ก็คือ เทคโนโลยียืนยันความเป็นมนุษย์ผ่านข้อมูลชีวมิติ เช่น ม่านตา ลายนิ้วมือ หรือใบหน้า ซึ่งสิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ โดยทั่วไปแล้วระบบเหล่านี้ไม่ได้เก็บภาพจริงของเราไว้ หรือหากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ การแปลงม่านตาเป็น Iris Code ก็คล้ายกับการสร้าง “กุญแจดิจิทัลเฉพาะบุคคล” ที่ใครก็ปลอมไม่ได้ และรหัสนี้จะใช้เพื่อยืนยันตัวตนเท่านั้น ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นภาพตาจริงของเราได้ จุดนี้จึงช่วยให้ผู้คนมั่นใจได้ว่า ข้อมูลชีวมิติไม่ได้ถูกนำไปเก็บหรือขายต่อ
นอกจากนี้ในกรณีที่การสแกนชีวมิตินั้นไม่ได้มีการให้ข้อมูลส่วนตัวอย่างเช่น ชื่อ, ที่อยู่, หรือเลขบัตรประชาชน ระบบของผู้ให้บริการก็จะไม่สามารถระบุได้ว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นของใคร โดยจะสามารถยืนยันได้เพียงแค่ว่าเป็นมนุษย์ และเป็นคนละคนกับข้อมูลชีวมิติของบุคคลอื่น ๆ แต่จะบอกไม่ได้ว่าเป็นของนาย A, นาย B หรือนาย C รับประกันความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในระดับสูง
เทคโนโลยีชีวมิติแต่ละแบบมีข้อดีต่างกันยังไงบ้าง
เทคโนโลยีชีวมิติในยุคปัจจุบันนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีลักษณะการทำงานและข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ดังเช่นต่อไปนี้
1. การสแกนม่านตา
การสแกนม่านตาถือว่าเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงกว่าแบบอื่น ๆ เพราะรูปแบบม่านตาของแต่ละคนจะเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต ซึ่งยากต่อการปลอมแปลงและมีโอกาสจับคู่ผิดพลาดน้อยมาก อีกทั้งยังมีความถูกสุขลักษณะ เนื่องจากไม่ต้องมีการสัมผัสกับอุปกรณ์โดยตรงเหมือนกับการสแกนลายนิ้วมือ แต่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์โดยเฉพาะซึ่งใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง
2. การสแกนลายนิ้วมือ
ถือว่าเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมและถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่การบันทึกเวลาเข้า-ออกงาน ไปจนถึงการใช้ปลดล็อกอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเช่นสมาร์ตโฟนและโน้ตบุ๊ก แต่ก็มีข้อจำกัดคือหากนิ้วเปียก มีคราบมัน สิ่งสกปรก หรือนิ้วเป็นแผล ก็อาจทำให้การสแกนผิดพลาดหรือไม่ผ่านได้
3. การสแกนใบหน้า
เป็นวิธีที่สะดวกและไม่ต้องมีการสัมผัส ใช้แยกความแตกต่างของใบหน้าแต่ละบุคคลได้ แต่ก็มีข้อจำกัดและปัจจัยที่ส่งผลต่อการสแกนใบหน้าค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพแสง ที่หากรอบข้างมืดเกินไปก็อาจสแกนไม่ผ่าน อีกทั้งยังมีโอกาสถูกปลอมแปลงได้ด้วยการใช้รูปภาพใบหน้า ที่หากระบบไม่สามารถแยกความแตกต่างของใบหน้า 3 มิติได้ก็จะเข้าใจผิดว่าเป็นใบหน้าของบุคคลจริงนั่นเอง
4. การจดจำเสียง
ค่อนข้างทำได้สะดวก ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ใช้แค่ไมโครโฟนที่มีอยู่แล้วในโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ สามารถใช้กับการทำงานระยะไกลได้ เช่น ลูกค้าโทรศัพท์เข้า Call Center ก็สามารถยืนยันตัวตนด้วยเสียงได้ทันทีโดยไม่ต้องจำรหัสผ่านหรือ PIN รวมถึงการใช้งานร่วมกับ AI Assistant อย่าง Siri, Gemini หรือ Alexa เพื่อสั่งงานด้วยเสียงและยืนยันตัวตนไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งระบบจะสามารถแยกแยะเสียงของแต่ละคน เช่น โทน จังหวะ และการออกเสียง เป็นต้น
5. การสแกนฝ่ามือหรือเส้นเลือด
ฝ่ามือหรือเส้นเลือดถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ปลอมแปลงได้ยากมาก อีกทั้งยังมีความแม่นยำสูง เพราะเป็นการใช้ลำแสงอินฟราเรดในการตรวจจับโครงสร้างเส้นเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังที่มีความเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล และแทบไม่เปลี่ยนไปตามอายุ
6. การวิเคราะห์พฤติกรรม
เป็นการวิเคราะห์พฤติกรรม เช่น วิธีพิมพ์, ความเร็วการเลื่อนหน้าจอ หรือการกดเมาส์ สามารถตรวจสอบตัวตนผู้ใช้งานได้ต่อเนื่องตลอดเวลา ต่างจากการสแกนลายนิ้วมือหรือใบหน้าที่ตรวจแค่ตอนล็อกอินเข้าสู่ระบบ และเนื่องจากเป็นการทำงานเบื้องหลังอัตโนมัติ ผู้ใช้จึงไม่ต้องเสียเวลาสแกนเหมือนวิธีอื่น ๆ เช่น ถ้ามีคนใช้บอตในเกมออนไลน์ แต่ตัวละครเคลื่อนไหวต่างไปจากคนจริง หรือมีรูปแบบการลากเมาส์แปลก ๆ ระบบก็จะตรวจจับและสามารถแบนได้ทันที
เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่เริ่มถูกนำไปใช้จริงในบริการที่หลายคนคุ้นเคยแล้ว ตัวอย่างเช่น การจองบัตรคอนเสิร์ตหรืออีเวนต์ ที่มักถูกบอตกดซื้อล่วงหน้าเพื่อนำไปรีเซลในราคาสูงเกินจริง ระบบยืนยันความเป็นมนุษย์จึงสามารถลดปัญหากดจองไม่ทันบอต ช่วยให้ตั๋วไปถึงมือแฟนตัวจริงได้มากขึ้นนั่นเอง
ส่วนในโลกเกมออนไลน์ เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดการโกงจากบอตที่เอาเปรียบผู้เล่นคนอื่น ๆ และสำหรับแพลตฟอร์มชุมชนหรือเว็บบอร์ดนั้น การยืนยันว่าผู้ใช้งานคือคนจริง ๆ ก็จะทำให้การพูดคุยมีความน่าเชื่อถือ ลดคอมเมนต์ปั่นและเฟกนิวส์ที่สร้างความสับสนได้เป็นอย่างมาก
สแกนม่านตาเพียงครั้งเดียว ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม
ปัจจุบันเริ่มมีผู้ให้บริการรายใหญ่หันมาใช้เทคโนโลยีการสแกนม่านตากันมากขึ้น เนื่องจากมีความแม่นยำสูงและปลอมแปลงได้ยาก โดยหนึ่งในข้อดีที่หลายคนอาจยังไม่รู้ของการสแกนม่านตาเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์กับผู้ให้บริการรายใหญ่ ๆ ก็คือ เมื่อเราผูกข้อมูลเข้ากับแอปพลิเคชันแล้วจะสามารถนำไปใช้เป็น “ลายเซ็นดิจิทัล” ในการยืนยันตัวตนกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้สะดวกขึ้นทันที
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการสมัครใช้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์, เข้าสู่ระบบเกม, ทำธุรกรรมดิจิทัล หรือแม้แต่เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ ก็สามารถใช้แอปฯ ของผู้ให้บริการที่รองรับเพื่อยืนยันได้เลยว่านี่คือมนุษย์จริง ๆ ที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเวลาสแกนใหม่หรือยืนยันซ้ำหลายรอบ
นอกจากนี้ การมี “ตัวตนดิจิทัล” แบบรวมศูนย์ ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของตัวเองได้ง่ายขึ้น เลือกได้ว่าจะอนุญาตให้แพลตฟอร์มไหนเข้าถึง หรือเพิกถอนสิทธิ์เมื่อไม่ต้องการใช้งานต่อ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้าง “ความน่าเชื่อถือแบบพกพา” ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยกว่าระบบแบบเดิม ๆ นั่นเอง
ภาครัฐยืนยัน ยังไม่พบผู้ให้บริการที่ทำผิดกฎหมาย
หลังจากเกิดกระแสที่มีการชักชวนให้สแกนม่านตาเพื่อแลกรับเงิน ซึ่งมีคนจำนวนมากให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพื่อช่วยลดการถูกสวมรอยและแยกแยะบอตจากคนจริง ๆ หรือเพื่อค่าตอบแทนที่เป็นเงินสำหรับนำไปจับจ่ายใช้สอย แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เกิดความกังวลว่าระบบดังกล่าวนั้นมีความปลอดภัยแค่ไหน เสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปขายต่อให้กับมิจฉาชีพหรือไม่
ล่าสุดรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) และตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) สามารถยืนยันว่าผู้ให้บริการที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ทำถูกต้องตามกฎหมาย และยังไม่พบผู้เสียหายจากระบบดังกล่าว โดยหากในอนาคตพบการละเมิดจะมีมาตรการควบคุมและดำเนินคดีอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เตือนให้ประชาชนระมัดระวังและไม่ประมาท ก่อนจะตัดสินใจใช้บริการหรือทำธุรกรรมใด ๆ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการนั้น ๆ ให้ดี (อ้างอิงข้อมูลจาก mcot.net, thaigov.go.th)
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ให้บริการน่าเชื่อถือ ?
ก่อนที่จะตัดสินใจสแกนเพื่อให้ข้อมูลชีวมิติกับผู้ให้บริการรายใด ควรตรวจสอบความโปร่งใสของผู้ให้บริการในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการมีใบอนุญาตหรือการรับรองจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น PDPC หรือสำนักงานกำกับดูแลด้านดิจิทัล, การแสดงนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ที่ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย มีการระบุชัดเจนว่าข้อมูลชีวมิติจะถูกเก็บและนำไปใช้ในลักษณะใด และผู้ใช้ก็ควรมีสิทธิ์ที่จะยกเลิกการใช้งานและลบข้อมูลได้ตามต้องการด้วย
อย่างเช่นของผู้ให้บริการ World ที่ได้มีการสร้างเครือข่ายแบบเปิด (Open source) และกระจายศูนย์ (Decentralized) โดยส่วนประกอบหลักของทั้งฮาร์ดแวร์ เช่น อุปกรณ์ Orb และซอฟต์แวร์ ได้รับการเปิดเผยซอร์สโค้ดต่อสาธารณะและสามารถเข้าตรวจสอบได้ และผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยโดยบุคคลที่สามซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลก เพื่อรักษามาตรฐานความปลอดภัยและความโปร่งใส (สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่นี่)
นอกจากนี้การสแกนชีวมิติก็ควรทำกับช่องทางทางการเท่านั้น และต้องไม่ลืมว่าผู้ให้บริการระบบยืนยันตัวตนจะไม่มีการขอข้อมูลส่วนตัวใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่, อีเมล, รหัสผ่าน หรือ OTP ถ้าหากพบเจอใครมาแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่โดยไม่มีหลักฐานเพื่อมาขอข้อมูลหรือเรียกเก็บเงิน ก็ควรหลีกเลี่ยงทันที และรายงานผ่านช่องทางทางการ (อย่างเช่นแอปพลิเคชัน World) เพื่อช่วยกันปกป้องผู้อื่นไม่ให้ตกเป็นเหยื่อต่อไป
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยียืนยันความเป็นมนุษย์จะมีศักยภาพในการสร้างโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยขึ้น ช่วยลดทั้งปัญหาบอตและมิจฉาชีพ แต่ประชาชนก็ต้องรู้เท่าทันด้วยเช่นกัน ควรตรวจสอบแหล่งที่มาของผู้ให้บริการว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ และไม่หลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการรายใหญ่
เมื่อโลกดิจิทัลมี AI ที่เลียนแบบมนุษย์ได้แนบเนียนมากขึ้นทุกวัน การแยกแยะว่าใครคือคนจริง ๆ ก็จะยิ่งท้าทายกว่าเมื่อก่อน การมีระบบยืนยันความเป็นมนุษย์จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือชั่วคราว แต่เป็น “รากฐานใหม่ของความน่าเชื่อถือ” ที่จะช่วยสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน และอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ไทยกำลังมุ่งสู่ในอนาคต






