ศาลอาญาพิพากษาจำคุก ประสิทธิ์ เจียวก๊ก 1,210 ปี พร้อมสั่งปรับบริษัทนับร้อยล้าน เซ่นคดีหลอกประชาชนร่วมลงทุนความเสียหายอ่วม
.jpg)
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ประสิทธิ์ เจียวก๊ก
วันที่ 26 ธันวาคม 2568 ThaiPBS รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.1472/2568 ที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องบริษัท เหนือโลก จำกัด ที่1 โดยนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กรรมการผู้มีอำนาจ ที่1 บริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) โดยนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กรรมการผู้มีอำนาจ ที่2 นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก อดีตประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน ที่3 นายกิตติศักดิ์ เย็นนานนท์ ที่4 นายวิมกริช วงศ์วิเศษศิริ คนสนิท ที่5 และนางสาวณัฐวรรณ อุตตะมะปรากรม ที่6 เป็นจำเลยร่วมกัน ที่1 - 6 ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีพวกจำเลยร่วมหลอกลวงประชาชนผู้เสียหายจำนวนมากมาร่วมลงทุน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธและถูกคุมขังในเรือนจำ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลย ที่1 - 3 (บริษัทและนายประสิทธิ์) มีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ให้ลงโทษตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินฯ อันเป็นกฎหมายบทหนักที่สุด โดยการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ปรับบริษัท ที่ 1-2 รายละ 500,000 บาท จำคุกนายประสิทธิ์ จำเลย ที่ 3 รวม 242 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 1,210 ปี และรวมปรับบริษัทจำเลย ที่ 1-2 รายละ 121 ล้านบาท
ส่วนจำเลยที่ 5 มีความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินและเป็นผู้สนับสนุนฯ จำคุกรวม 37 กระทง กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมเป็น 111 ปี 148 เดือน ทางนำสืบของจำเลย ที่ 1-3 และ ที่ 5 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงปรับบริษัทจำเลย ที่1 - 2 รายละ 80 ล้านบาทเศษ ส่วนนายประสิทธิ์จำเลย ที่ 3 เหลือจำคุก 806 ปี 8 เดือน และคงจำคุกจำเลย ที่5 ไว้ 74 ปี 8 เดือน 29 วัน
.jpg)
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ประสิทธิ์ เจียวก๊ก
อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกนายประสิทธิ์ จำเลย ที่3 และนายวิมกริช จำเลย ที่ 5 ไว้คนละ 20 ปี ตามกฎหมาย และให้จำเลย ที่1-3 ร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหายรวม 267 คนด้วย ส่วนจำเลย ที่ 4 และ 6 ศาลพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ศาลอาญามีคำพิพากษาคดีฉ้อโกงคดีแรก ให้จำคุกนายประสิทธิ์รวม 1,155 ปี ฐานกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน แต่ตามกฎหมายให้ลงโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายคืนแก่ผู้เสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท






