
เรื่อง : กฤษกร วงค์กรวุฒิ
ภาพ : ธาตรี แสงมีอานุภาพ
เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
แคน เครื่องดนตรีพื้นถิ่นที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นเลียนเสียงของนกการเวก เสียงแคนเป็นความมหัศจรรย์แห่งแผ่นดินอีสาน เช่นเดียวกับเป็นมหัศจรรย์แห่งชีวิตของชายตาบอด
จากคำกล่าว "สมบัติเอ๋ย พ่อสิหัดแคนให้เจ้า..." ยิ่งกว่าของเล่นถูกใจชิ้นใดๆ สำหรับ สมบัติ สิมหล้า แคนใหญ่สิบหกลูกของพ่อเต้านั้น แทบจะสูงท่วมหัวเด็กชายผอมบางวัยหกขวบ เสียงของมันยามที่พ่อเป่าให้ฟัง ไม่เพียงไพเราะราวกับเสียงนกการเวก หากแต่ยังทำให้ความคิดหวังของเด็กชายในโลกมืดคนหนึ่งเพริดไปไกลเสียจากใต้ถุนเรือน
เด็กชายสมบัติเกิดมามีกรรมหนัก เป็นน้องคนสุดท้องที่ไม่ได้ตาพิการมาแต่กำเนิด หากแต่เรื่องราวของเขาฟังว่าเมื่อแรกคลอดออกมา หมอตำแยเอายาผิดชนิดมาหยอดตาทารกน้อย จนติดเชื้อ และทำให้บอดสนิทเสียตั้งแต่ยังไม่รู้ความ แต่เด็กชายมิใช่เด็กมีปมด้อย ตรงกันข้าม ยังร่าเริง ช่างคิด แม้ไม่อาจออกไปวิ่งเล่นในทุ่งกับพี่น้อง ทุกวันเขาจะนั่งเคาะจังหวะเพลงกับกลองปี๊บหรือพื้นกระดานไปตามเรื่อง แต่ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นแคนน้อยหกลูกที่พ่อหามาให้เล่นตอนอายุได้สามขวบ
"พอเป่าแคนได้ หลังจากนั้นปีกว่าๆ ป้าของผมก็มาขอกับแม่พาผมไปขอทาน
พ่อไม่อยากให้ไป แกอายคน ฐานะก็มีกิน ยังปล่อยให้ลูกไปขอทาน แกห้ามทุกครั้งแต่ผมไม่ฟัง"
สำหรับเด็กชายที่มีชีวิตอยู่ใต้ถุนเรือน การออกไปขอทานคือวิธีเดียวที่เขาได้ออกไปเผชิญโลก แรกๆ ก็เดินเป่าแคนอยู่ในตลาดบรบือ เริ่มออกไปต่างอำเภอ และถูกพาไปไกลขึ้นเรื่อยๆ การไปขออาศัยนอนตามโรงพัก นอนตามท่ารถ ผจญยุงกัดจนไม่เป็นอันหลับอันนอน ไม่ได้ทำให้เขาหมดสนุก ป้าพาเด็กชายตระเวนขอทานไปทั่วภาคอีสาน พาไปไกลถึงจังหวัดสมุทรปราการ ตะลอนขอทานอยู่หลายปีจนอายุได้สิบเอ็ดขวบ จากที่เคยไปสามสี่วัน กลายเป็นสิบวัน ไปนานเป็นแรมเดือน แต่เด็กชายไม่เคยร้องไห้กลับบ้าน เขาจำได้ว่าเคยหอบเงินเหรียญเป็นถุงๆ ไปแลกเป็นใบกับตามร้านค้า มันหนักจนแทบอุ้มไม่ไหว ได้เงินร่วมๆ หมื่นบาท

วันหนึ่งขณะเดินขอทานอยู่ที่มหาสารคาม แคนของเขาไปสะดุดหูหมอลำกลอนคนดังในท้องถิ่น หมอแคนวัยสิบเอ็ดจึงได้ย้ายไปอยู่กับ คำพัน ฝนแสนห่า ที่อำเภอชุมพวง นานถึงห้าปี เป็นหมอแคนค่าตัวไม่กี่บาทจนได้มากถึงคืนละ 500 บาท แทบจะกลายเป็นหมอแคนคู่บารมีเลยทีเดียว แต่ต่อมาเขาอยากรู้ฝีมือจึงออกไปขึ้นเวทีประชันแคน โดยในห้วงเวลานั้น สมบัติพอมีงานเป่าแคนบันทึกเสียงให้กับหมอลำมีชื่อที่ห้องอัดเสียงสยามที่ขอนแก่นอยู่บ้าง และด้วยเหตุนี้เองที่ครั้งหนึ่งชื่อของเขาถูกแนะนำไปถึง ไตรภพ ลิมปพัทธ์ พิธีกรชื่อดังเจ้าของรายการทไวไลต์โชว์ และถูกเชิญไปออกรายการ กลายเป็นหมอแคนตาบอดคนแรกที่ได้ออกทีวี มีคนเห็นกันทั่วเมือง กลายเป็นคนดังของอำเภอบรบือไปในชั่วข้ามคืน
สมบัติมีโอกาสไปออกรายการทไวไลต์โชว์อีกครั้งในหลายปีต่อมา เคยได้เป่าแคนออกโทรทัศน์บนเวทีเดียวกับนักดนตรีเพื่อชีวิตระดับตำนาน สุรชัย จันทิมาธร โดยที่ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน แต่ที่ทำให้พัฒนาการทางดนตรีของ สมบัติ สิมหล้า ก้าวขึ้นไปสู่ระดับสากล คงเป็นช่วงชีวิตที่ได้ไปเป็นส่วนหนึ่งของ "วงฟองน้ำ" ที่ก่อตั้งโดยครูบุญยงค์ เกตุคง และอาจารย์บรูซ แกสตัน ซ้ำอีกเจ็ดปีต่อมาก็ยังมีโอกาสได้พบกับอาจารย์สนอง คลังพระศรี ที่ชักชวนให้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนการเป่าแคนให้กับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงโอกาสร่วมเล่นกับ "วงไทยแลนด์ ฟีลฮาร์โมนิก ออร์เคสตรา" หรือ TPO วงออร์เคสตราที่มีนักดนตรีเป็นคณาจารย์ และนักศึกษาของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ที่อำนวยการวงโดยอาจารย์สุกรี เจริญสุข ผู้อำนวยการวิทยาลัยฯ นั่นเอง ขณะเดียวกันหลายครั้งยังได้ร่วมเล่นกับ "วง Dr.Sax Chamber Orchestra" ของ ดร.สุกรี อีกด้วย ทำให้ สมบัติ ในฐานะนักดนตรีเอกผู้เชี่ยวชาญด้านแคน ได้รับเชิญไปแสดงในต่างประเทศ ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในเอเชีย
ทุกวันนี้สมบัติ สิมหล้า กลับมาที่บ้านวังไฮ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคามบ้านเกิด ครอบครัวเล็กๆ ของเขามีภรรยา และลูกสาวอีกคนที่พ่อกำลังมุ่งมั่นหัดแคนให้ เป็นครูแคนที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย รวมไปถึง อดิศร เพียงเกษ นายกสมาคมหมอแคนแห่งประเทศไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็มาหัด เต้ยโขง กับเขา ขณะเดียวกันก็เป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในภาคอีสาน และรับงานเป็นหมอแคนให้กับหมอลำกลอนพื้นบ้านตามแต่จะว่าหา
"อย่าไปน้อยใจ ท้อแท้ใจ คนเราถ้ายังไม่หมดลมหายใจ ก็อย่าไปท้อ ผมเกิดมายังไม่ทันได้เห็นอะไร ตาก็บอดเสียแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยท้อ ยิ่งท้อยิ่งทำให้อายุสั้น" ซึ่งไม่เพียงไม่ท้อแท้ สมบัติยังมองโลกในแง่ดี ในโลกที่มีเพียงสีดำของเขาใบนี้ มีเสียงหวานอ้อยส้อย เร่งกระชั้น ระริกไหวไปกับบทขับของลำกลอน เป็นสีสันแห่งชีวิต และได้นำเอาสิ่งดีงามมามอบให้
ที่มาและภาพประกอบจาก
นิตยสาร ฅ คน ฉบับที่ 32 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551

นิตยสาร ฅ คน ฉบับที่ 32 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551
หมอลำ มหัศจรรย์ที่ราบสูง
จากอดีตสู่ปัจจุบัน คนบ้านปลาค้าวเรียนรู้ร่วมกันอย่างหนึ่งว่า หมอลำ สำหรับพวกเขา เป็นมากกว่าสินค้าโอทอป มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ตามหาเหลืองควายล้า
ข้าวหอมพันธุ์พื้นบ้านบางกอกที่ชาวนาวัยเจ็ดสิบเก้ารู้จักมันมาทั้งชีวิต แต่มาบัดนี้ ทั้งข้าวทั้งควายใกล้สาบสูญไปพร้อมกัน
คนกับวิถี
พรนกการเวกกับชายตาบอด ทารกน้อยเกิดมามีกรรมหนัก ทำให้ตาพิการ แต่เมื่อเติบใหญ่ เขากลับตระหนักได้ว่า มีวาสนาสูงที่ได้รู้จัก และหัดเป่าแคนจนเป็นปรมาจารย์
แฟชั่นชีวิต
ชีวิตหน้าม่าน มีฉากหลังเคลือบสีสัน และแป้งรองพื้น สดใส สนุกไม่แพ้หน้าม่านที่อาบแสงไฟ
สัมภาษณ์พิเศษ
อาณาจักรข้าวในโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำไมข้าวจึงแพง ทำไมชาวนายังจน ถ้าคุณตอบได้ทั้งสองข้อ ก็ไม่ต้องอ่านบทสัมภาษณ์เลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ชิ้นนี้
สกูปพิเศษ
นิเวศน์ศิลป์ ศิลปินหนุ่มล่องเรือไปตามลำน้ำโขง และลำน้ำยม เป็นระยะทางกว่า 2,600 กิโลเมตร เขาเอาลำน้ำทั้งสายต่างกรอบเฟรม
![]()






