
กาลครั้งหนึ่งในอีกไม่นานข้างหน้านี้ รัฐบาลแห่งสารขัณฑ์ประเทศ ประกาศต่อราษฎรทั้งปวงว่า น้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ว่าเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันก๊าด แก๊สโซฮอล์ รวมไปถึงก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี หรือก๊าซหุงต้ม จะหมดเกลี้ยงไปจากประเทศเราภายใน 3 วันนี้ เพราะราคาที่แพงระเบิดระเบ้อ บวกกับประเทศอื่นๆ ในโลกนี้แย่งกันประมูลซื้อไปกันหมด ทำให้เราต้องขาดแคลนน้ำมันและก๊าซเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนที่จะพอหามาเผาผลาญกันได้ต่อไป ขอให้ราษฎรตาดำๆ ทั้งหลายโปรดเตรียมตัวให้พร้อม
เราจะอยู่กันโดยปราศจากน้ำมัน 1 วัน!!!
สามวันผ่านไป ประชาชนชาวสารขัณฑ์ 66 ล้านคน ตื่นเช้าขึ้นมา พบว่า วันนี้จะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์...!

อดีตที่ผ่านมา ชาวสารขัณฑ์และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เคยเผชิญวิกฤตการณ์น้ำมัน หรือ Oil Shock มาแล้ว 3 ครั้ง
ปี พ.ศ. 2516-2518 Oil Shock ครั้งแรก แขกอาหรับรบกับยิว สมาชิกโอเปคซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกอาหรับรวมหัวกันใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือต่อรอง ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึงเกือบ 3 เท่าตัว คือจากบาร์เรลละ 3 ดอลลาร์ เป็น 8.9 ดอลลาร์
ครั้งที่สอง เกิดห่างจากครั้งแรกราว 5 ปีคือระหว่าง พ.ศ.2522-2524 สาเหตุเริ่มจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ทำให้ไม่สามารถผลิตน้ำมันส่งออกได้ ซ้ำร้ายโอเปคยังรวมหัวกันอีก โดยขึ้นราคาน้ำมัน 15 % ภายในเวลา 1 ปี และอิหร่านกับอิรักก็รบกันเอง คราวนี้ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 32-34 ดอลลาร์/บาร์เรล
และ Oil Shock ครั้งที่ 3 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวหลังจากผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ พ.ศ.2540 มาได้ราว 6-7 ปี ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมากจนโรงกลั่นผลิตได้ไม่ทัน คราวนี้พวกที่ผสมโรงไม่ใช่กลุ่มโอเปค แต่เป็นกองทุนเก็งกำไรที่เรียกกันว่า Hedge Fund ที่ปั่นราคา ประกอบกับมีสงครามสหรัฐบุกอิรัก แต่ราคาน้ำมันดิบตอนนั้นก็ยังอยู่ประมาณ 30 กว่าดอลลาร์/บาร์เรล
เผลอไม่นาน ผ่านมาอีกราว 5 ปี ราคาน้ำมันตอนนี้ปาเข้าไปกว่า 130 เหรียญ/บาร์เรลแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาขายปลีกของเบนซิน 95 จะไต่จาก 16.99 บาท/ลิตรในปี 2547 มาเป็นเกือบ 45 บาท ส่วนดีเซลก็ขึ้นจาก 14.69 บาท/ลิตร มาเป็นกว่า 41 บาท

ปัจจุบันไทยเราผลิตน้ำมันได้เองจากแหล่งในประเทศรวม 220,000 บาร์เรล/ต่อวัน แต่มีความต้องการใช้อยู่ถึงราว 900,000 บาร์เรล/วัน และเพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมัน รัฐบาลประกาศให้โรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันทุกราย ต้องมีปริมาณน้ำมันสำรองเพื่อความมั่นคง 5 % ของกำลังการกลั่นหรือยอดขาย เท่ากับว่าหากเราไม่สามารถนำเข้าน้ำมันหรือมีปัญหาด้านการผลิต ประเทศไทยก็จะยังมีน้ำมันใช้ไปได้อีกราว ๆ 18 วัน ผ่านจากนั้นไปแล้วหากยังแก้ปัญหาไม่ได้เราจึงจะประสบความขาดแคลนเหมือนชาวสารขัณฑ์
ใน 24 ชั่วโมงวิกฤต รัฐบาลสารขัณฑ์ประกาศว่า กระแสไฟฟ้าที่พอจะผลิตจากพลังน้ำ พลังลม และพลังแสงอาทิตย์ จำต้องสงวนไว้ใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉิน เช่น ตามโรงพยาบาล และสถานที่ราชการบางแห่ง
เมื่อไม่มีน้ำมัน ก็ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำมัน ก็ไม่มีรถยนต์ ไม่มีมอเตอร์ไซค์ เตาแก๊สก็ใช้ไม่ได้เพราะแก๊สหมด แต่ไม่เป็นไร ย้อนยุคจุดเตาถ่านทำกับข้าวไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน

ตลอดทั้งวันนั้น ชาวบ้านร้านถิ่น ทั้งในกรุง ตามท้องทุ่งท้องนา ที่ยังพอมีงานทำ ก็เดินบ้าง ขี่จักรยานทั้งคนเดียว ทั้งซ้อนสอง ซ้อนสาม ขี่ช้าง ม้า วัว ควาย ใช้รถเข็น รถลาก รถม้า และเกวียน เดินทางไปทำงานกันเป็นที่ครื้นเครง ถนนหนทางปราศจากควันพิษ หรือสรรพเสียงอึกทึกเสียดหู และแน่นอนว่ารถไม่ติดแม้แต่นิดเดียว ชาวไร่ ชาวนา กลับไปใช้วัว ใช้ควายทำไร่ไถนาเหมือนในอดีต
ถึงเวลาหิวก็จุดเตาถ่าน เตาฟืน หุงหาอาหารรับประทานกันอิ่มหนำ เวลาว่างไม่มีโทรทัศน์วิทยุให้ดูให้ฟัง ก็อาศัยอ่านหนังสือพิมพ์ หนังสือนิยาย หนังสือการ์ตูน หรือไม่ก็พูดคุย นินทา สรรเสริญกันพอเพลินๆ ปาก
ตกค่ำ มองเห็นแสงเทียนเรือง ๆ ตามบ้านช่อง ทาวน์เฮาส์ คอนโด ที่เปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้ให้ลมโกรกคลายร้อน ดูแล้วโรแมนติกไม่หยอก ง่วงนักก็ดับไฟนอน ร้อนหนักก็ลุกขึ้นมาโบกพัดเผื่อคนข้างๆ ด้วย จะได้ไม่นอนดิ้น

ผ่านพ้น 24 ชั่วโมง ชาวสารขัณฑ์ไม่มีใครตายเพราะขาดน้ำมันแม้แต่คนเดียว... และไม่มีรายงานอุบัติเหตุบนท้องถนนเลยสักราย
คณะรัฐบาล ประกาศออกตัวเป็นประโยคแรกว่า "นี่มันอะไรกันนักกันหนา จะเอากันให้ตายเลยหรือไร เพิ่งจะเข้ามาเป็นรัฐบาลได้แค่ 4 เดือน จะบอกว่าเป็นความผิดของรัฐบาล จะกระเหี้ยนกระหือรือกันไปถึงไหน ..."
จะยังไงก็ตามแต่ ขอให้ถือว่า 24 ชั่วโมงนี้เป็นบทเรียนอันใหญ่หลวงที่พวกเราชาวสารขัณฑ์ทุกคนพึงตระหนักว่า
น้ำมันนั้นหายาก ต้องลำบากขุดเจาะมา
แถมยังแพงนักหนา ใช้ดอลลาร์จ่ายแขกไป
ที่เรามีอยู่บ้าง ก็แค่บาง ๆ ไม่พอใช้
ผองเราพึงทำใจ อย่าใช้ให้สิ้นเปลืองเอย
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
คอลัมน์ทุกอย่าง 10 บาท : จะอยู่กันอย่างไร ถ้าไม่มีน้ำมัน.. ?
โดย คุณนายทอม






