"ผมรู้จักอี๊ดตั้งแต่น้ำหนักแค่ 65 จนป่านนี้ปาไปร่วมร้อยกิโลแล้ว คิดดูแล้วกัน" พี่กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ เริ่มต้นเล่าถึงความเป็นมาของชีวิตคู่
ขณะที่พี่อี๊ด-กนกวรรณ กิจเจริญ บอกว่า รู้จักกันตอนเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ อี๊ดเรียนรัฐศาสตร์ ส่วนเขาเรียนสถาปัตย์
พี่กิ๊ก เล่าต่อว่า พอเอ็นท์ติด จะมีงานน้องใหม่สัมพันธ์ให้เด็กปีหนึ่งได้มารู้จักกัน ไปไกลถึงศรีราชา แล้วพอดีว่า เราสองคนได้มาอยู่กลุ่มเดียวกันด้วย เจอเขาครั้งแรกตอนกลางคืน เห็นเขานั่งดูกิจกรรมบนเวทีอยู่ข้างหน้า เริ่มรู้สึกว่าเออ...ผู้หญิงคนนี้น่ารักดีนะ ตัวเล็กๆ ด้วย ผมชอบผู้หญิงตัวเล็กอยู่แล้วอีก ส่วนหน้าตาเป็นยังไง มองไม่เห็นหรอก มันมืด พอมืด เราเลยตัดเรื่องคาแร็คเตอร์อะไรออกไปได้หมด เหลือพิจารณากันแค่เรื่องนิสัยไง เมื่อวันเปิดเทอมวันแรกมาถึง ไปหาอี๊ดที่รัฐศาสตร์เลย หนุ่มใหญ่ใจกล้าสั่งลุย ไม่รู้หรอกว่าคณะเขาอยู่ตรงไหน หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ผมเริ่มไปส่งบ้าน เริ่มจากนั่งรถเมล์ไปส่งครึ่งทาง เพราะบ้านอยู่ห่างกันมาก แล้วก็ขยับมาส่งถึงหน้าบ้าน มีวันหนึ่งขอเข้าไปส่งเขาในบ้าน แต่เขาไม่ยอม บอกว่าแม่อยู่ ผมเลยแกล้งบอกว่าปวดฉี่ ขอเข้าไปหน่อยเถอะ
"ตอนนั้นเขาเรียนจบแล้ว เริ่มทำงาน พอว่าง เขาจะไปที่กองถ่าย คนก็รู้จักเขาอีก แล้วผมเป็นคนเปิดเผย นักข่าวถามก็บอก คือผมคิดว่าการเป็นดาราไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่เราได้รักผู้หญิงคนนี้ ถ้าคบเขาแล้วไม่ได้เป็นดารา งั้นผมไม่เป็นดาราก็ได้ ไปเป็นสถาปนิกก็ได้ ยิ่งเปิดเผย คนยิ่งไม่สนใจจะทำข่าว" พี่กิ๊ก กล่าว
ด้านพี่อี๊ดเปิดใจอีกว่า เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จากวันที่ไม่มี่ใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่งเขาดังมาก ก็ยังไปด้วยกันอยู่เหมือนเดิม บางทีมีคนมาขอถ่ายรูป เราก็ไปยืนหลบข้างๆ หลังๆ ยังมีคนเรียกให้ไปถ่ายด้วยกันเสียเลย เป็นอย่างนี้ ชินแล้ว คบกันเป็นแฟน 10 ปีก็แต่งงานกัน
พี่กิ๊กเสริมว่า แต่งงานแล้ว ที่เปลี่ยนคือย้ายมาอยู่บ้านเดียวกัน อื่นๆ ก็ยังเหมือนเดิม ทะเลาะกันมันเรื่องธรรมดา แต่เรามักเถียงกันเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมากกว่า เช่น ทำไมไม่ปิดประตู หรือเถียงกันด้วยเรื่องกวนตีนๆ ไม่รู้ครอบครัวอื่นเป็นแบบนี้ไหม แต่จะสนิทกันขนาดไหน เราก็มีสมองกันคนละก้อน คนละความรู้สึก แต่ความสนิทจะทำให้รู้ว่า เออ อย่างนี้คือไม่สบายใจนะ ไม่พอใจนะ แต่อยู่ที่ว่าตอนนั้นเราไม่พอใจด้วยหรือเปล่า ถ้าต่างคนต่างไม่พอใจ คงมีทะเลาะกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมเป็นคนไม่เก็บ ไม่พอใจอะไรบอกตรงๆ เลย
ถามต่อว่า อยู่กันมานาน เบื่อกันบ้างไหม พี่กิ๊กแอบค้อนเราวงใหญ่ (สมตัว) แล้วค่อยอธิบายว่า เหมือนมีแขน แล้วแขนขาดไปข้างหนึ่ง ลำบากไหมล่ะ เขาเคยต้องไปอเมริกา 10 วัน โอ้โห นั่งนับวันเลย
แต่พี่อี๊ดบอกว่า เราอยู่ด้วยกันแทบจะ 24 ชั่วโมง ทำกิจกรรมด้วยกันตลอด บางทีเขาเล่นกีฬา เราก็หาอะไรทำไป เพราะรู้ว่าเขาอยากให้เรามาอยู่ใกล้ๆ ไปอัดรายการก็ไปจนคนเขาคิดว่าอี๊ดตามประกบพี่กิ๊ก แต่จริงๆ แล้ว พี่กิ๊กต่างหากเป็นคนบอกให้เรามา จริงๆ ไม่อยากมาหรอก อายเวลากล้องซูมมาหา
"ทุกก้าวในชีวิตตั้งแต่อายุ 18 เราเดินมาด้วยกัน ขึ้นรถเมล์มาด้วยกัน จนวันที่มีรถ เพราะฉะนั้นเรื่องกลัวว่าจะเลี้ยงเขาได้หรือเปล่ามันคงไม่ใช่ประเด็นหรอก และอยากบอกคนอื่นๆ ด้วยว่า ถ้าแต่งงานแล้วต้องกังวลว่าเขาจะเลี้ยงเราได้ไหม เขาเลี้ยงเราได้อยู่แล้ว แต่อยู่ที่เราพอใจแค่ไหนด้วย ถ้าเราต้องการเยอะ ก็คงเลี้ยงยากหน่อย แต่ถ้าแค่พอมีข้าวกิน มีที่นอน ไม่ให้อดยาก ผู้ชายเขาเลี้ยงคุณได้ จากแรกๆ ที่คบกันมันเป็นความชุ่มชื่น จนต่อมาเปลี่ยนเป็นเพื่อน ซึ่งสิ่งนี่แหละที่จะจีรังที่สุด หวานไม่หวานไม่สำคัญ แต่ว่าเราปฏิบัติต่อกันอย่างไรมากกว่า" พี่กิ๊ก กล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ฉบับเดือนกันยายน 2550
