ศาลพิพากษาจำคุก "ร.ต.ท." ปืนแค้นยิงดับ "รองผกก.สน.บางยี่ขัน หน้าโรงพัก ศาลพิเคราะห์แล้วไม่พบว่าเจตนาหรือไตร่ตรองไว้ก่อน ตัดสินจำคุก 7 ปี 8 เดือน เผย เป็นคดีดังในวงการสีกากี เมื่อเดือน ตุลาคม ปีที่แล้ว เมื่อ ร.ต.ท.หนุ่มทะเลาะกับ รองผกก. ก่อนชักปืนยิงใส่ตายคาที่ แล้วหนีไปอยู่ภาคใต้ก่อนถูกจับได้ อัยการฟ้องเจตนาฆ่า แต่ ร.ต.ท. สู้คดี พร้อมมีพยานเบิกความยัน ถูกผู้บังคับบัญชาด่าทอ เยาะเย้ย และลามไปถึงพ่อแม่ ก่อนบังคับให้กราบเท้า เลยแค้นจัดชักปืนรัวยิงไม่ยั้ง ศาลชี้ลงมือเพราะบันดาลโทสะไม่เข้าข่ายฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมียรองผกก. เผยพอใจคำตัดสินแต่จะขออุทธรณ์ต่อ และปรึกษาทนายเรื่องฟ้องแพ่งอีกครั้ง
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 20 สิงหาคม ที่ห้องพิจารณาคดี 509 ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ผู้พิพากษาขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.ท.วัชรินทร์ รักประทุม อายุ 36 ปี อดีตพนักงานสอบสวน (สบ.1) ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน จำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น เป็นเวลา 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี และฐานพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 7 ปี 8 เดือน
คดีนี้พนักงานอัยการจังหวัดตลิ่งชัน ยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 เวลา 02.00 น. จำเลยเป็นพนักงานสอบสวน (สบ.1) ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนขนาด 9 ม.ม.ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ใช้ปืนยิง พ.ต.ท.วีรากร ไวยวุฒิ อายุ 38 ปี หรือรองเต้ย รองผกก.ป. สน.บางยี่ขัน ที่ศีรษะ และร่างกายจนเสียชีวิต ก่อนจะหลบหนีไป เหตุเกิดที่หน้า สน.บางยี่ขัน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2550 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมจำเลยได้ที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย อ.ตากใบ จ.นราธิวาส จำเลยให้การปฏิเสธข้อหามีและพกพาอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต และให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ยิง พ.ต.ท.วีรากร ถึงแก่ความตาย โดยอ้างเหตุบันดาลโทสะ ต่อมา นางศรัทธยา ไวยวุฒิ ภรรยาผู้ตาย ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลย และ ส.ต.อ.สุพรรณ สามศรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางยี่ขัน ไปสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ที่ร้านอาหารอีสานเถิดเทิง ซึ่งอยู่ห่างจาก สน.บางยี่ขัน 1 ก.ม. จนเวลาประมาณ 01.30 น. มีเจ้าหน้าที่สายตรวจที่ได้รับคำสั่งจาก พ.ต.ท.วีรากร เดินทางไปปิดร้าน เพื่อไม่ให้ร้านเปิดขายอาหารเกินเวลา จำเลยออกจากร้านไปกับ ส.ต.อ.สุพรรณ เพื่อออกตรวจท้องที่ ก่อนจะเดินทางกลับเข้า สน.บางยี่ขัน โดย ส.ต.อ.สุพรรณ เป็นคนขับรถไปส่งให้จำเลยลงที่หน้า สน.บางยี่ขัน ระหว่างนั้น พ.ต.ท.วีรากร ได้พบกับจำเลยและมีการโต้เถียงกัน โดยผู้ตายด่าทอถึงบิดามารดา จำเลยโมโหจึงใช้ปืนยิงใส่ศีรษะและร่างกายของ พ.ต.ท.วีรากร โดยจำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับ พ.ต.ท.วีรากร มาก่อน
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นผู้ยิง พ.ต.ท.วีรากร มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ สำหรับการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ต้องได้ความว่าผู้กระทำผิดต้องคิดใคร่ครวญ ทบทวน และชั่งใจก่อนกระทำผิด แต่จากพฤติการณ์ดังกล่าว ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความโกรธแค้นที่ถูกลูกน้องของ พ.ต.ท.วีรากร ไปสั่งปิดร้าน ขณะที่จำเลยกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ร้านอาหารดังกล่าวห่างจาก สน.บางยี่ขัน เพียง 1 ก.ม. เท่านั้น แต่จำเลยก็ไม่ได้กลับมา สน.บางยี่ขัน ในทันที โดยออกตรวจท้องที่ก่อน จำเลยจึงไม่มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ประกอบกับคำเบิกความของประจักษ์พยานที่อยู่ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้จุดเกิดเหตุ และพยานที่ร้านอาหาร ระบุสอดคล้องกันกับคำให้การของจำเลยว่า เมื่อจำเลยเดินทางไปถึง สน.บางยี่ขัน ผู้ตายได้เข้าไปด่าทอ ทำนองว่า "มึงเป็นใครและกูเป็นใคร มึงมันแค่ ร.ต.ท. กระจอก" และพูดทำนองเยาะเย้ยถากถาง ที่จำเลยไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำนองว่าเป็นการทำหน้าที่เกินหน้าเกินตา พร้อมกล่าวว่า "มึงกราบตีนกูแล้วจะยกโทษให้" โดยจำเลยได้โต้เถียงบ้าง และพยายามเดินเลี่ยงไป แต่ พ.ต.ท.วีรากร ผู้ตาย ยังเดินตามไปด่าอีกว่า "พ่อแม่มึงต่ำชั้นกว่ากู มึงเป็นใคร แล้วกูเป็นใคร" เห็นว่าผู้ตายมีความขัดแย้งกับจำเลยในเรื่องการทำงานอยู่ในที แต่ไม่มีการแสดงออกมาก่อน พฤติการณ์ของผู้ตายเข้าข่ายขัดขวางการทำหน้าที่ของจำเลย การพูดด่าทอของผู้ตาย ที่ด่าถึงยศที่ต่ำกว่า ด่าถึงบิดามารดา แม้จำเลยจะโต้เถียงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ด่าทอกลับ และได้เดินหนีแล้ว มีแต่ผู้ตายที่ด่าทอ ดูถูกเหยียดหยามอยู่ฝ่ายเดียว ซ้ำไปซ้ำมา จึงเป็นเหตุให้จำเลยใช้อาวุธยิง โดยเป็นการบันดาลโทสะ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยมีอาวุธปืนในครอบครอง และพกพาปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ แม้โจทก์จะไม่มีปืนของกลางมายืนยัน แต่จำเลยรับสารภาพว่า ปืนได้สูญหายไปขณะหลบหนี เห็นว่าแม้จำเลยจะอ้างว่าปืนได้ซื้อมาอย่างถูกต้องและกำลังอยู่ในระหว่างขอใบอนุญาตอยู่ แต่การที่ยังไม่มีใบอนุญาตให้มีและพกพาอาวุธปืนนั้น จำเลยจึงไม่สามารถมีและพกพาอาวุธปืนได้ พิพากษาลงโทษจำคุกดังกล่าว
ภายหลังศาลมีคำพิพากษา นางศรัทธยา ไวยวุฒิ ภรรยา ของ พ.ต.ท.วีรากร ผู้ตาย กล่าวว่า พอใจผลคำพิพากษา แต่ก็คงจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป ส่วนเรื่องการฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจากการตายของสามีนั้น คงต้องปรึกษากับทางทนายความอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอ่านคำพิพากษาวันนี้ มีตำรวจจาก สน.บางยี่ขัน มาร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก โดยฝ่ายของ พ.ต.ท.วีรากร มีญาติและเพื่อนสนิท ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 43 ขณะที่ฝ่าย ร.ต.ท.วัชรินทร์ มีนางชิดชนก บุญกุศล ภรรยา พาลูกๆ มาให้กำลังใจสามีเช่นกัน
สำหรับ พ.ต.ท.วีรากร เรียนจบ นรต.รุ่น 43 เคยเป็นนายเวรของ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ อดีต ผบช.น. ก่อนจะขึ้นเป็น สว.สส.สน.ลุมพินี จากนั้นย้ายไปเป็น สว.สส.สน.บางยี่ขัน ก่อนขยับขึ้นเป็นรอง ผกก.ป.สน.บางยี่ขัน ขณะที่ ร.ต.ท.วัชรินทร์ เป็นชาวอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นนักเรียนนายร้อยอบรม และเริ่มรับราชการเป็นพนักงานสอบสวน ที่ สน.บางยี่ขัน และให้ไปช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด และ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก