
ภัยธรรมชาติน้ำป่า-โคลนถล่ม วันนี้พวกเขาอยู่กันอย่างไร?
ท่ามกลางฝนตกลงมาอย่างราวฟ้ารั่วของกลางดึกราวเวลา 03.00 น. ของวันที่ 11 สิงหาคม 2544 ณ ที่บ้านน้ำก้อ ตำบลน้ำก้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ใครเลยจะคาดคิดว่าเหตุการณ์วิปโยคจะเกิดขึ้นได้...หลายคนกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข...ทว่าเป็นการ "หลับยาว" ที่หลายคนไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมา!..
ณ ช่วงเวลานั้น หมู่บ้านที่มีบ้านผู้คนอย่างหนาแน่นหลายหลังที่อยู่ในรัศมีทางน้ำ และขาดความมั่นคงแข็งแรง ถูกกระแสน้ำป่าพัดหายไปทั้งหลัง ทั้งหมู่บ้านราบเป็นหน้ากลอง ประหนึ่งถูกมือขนาดใหญ่กวาดหายด้วยความบ้าคลั่งนั่นด้วยฤทธิ์น้ำป่าที่หอบเอามาทั้งดินโคลน และซากต้นไม้ กิ่งไม้ อย่างถอนรากถอนโคน...โดยที่เหยื่อน้ำป่าหลายคนไม่ทันได้ลุกหนี แต่สำหรับบางคนที่ตื่นขึ้นมาทัน ก็มีบ้างที่เอาชีวิตรอดได้ แต่บางคนก็ต้องถูกน้ำป่าพัดร่างหายไปต่อหน้าญาติพี่น้อง ที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลือ
เช้าวันรุ่งขึ้นทางการพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยเข้าเคลียร์พื้นที่ สิ่งที่พบเห็นล้วนเป็นภาพแห่งความสลดหดหู่ ณ หมู่บ้านแห่งนี้มีแต่ซากปรักหักพัง และถูกทับด้วยต้นไม้ กิ่งไม้ และดินโคลน...เหลียวแลไปยังบริเวณใด ก็พบแต่ ศพ ศพ ศพ เหยื่อน้ำป่ามหาโหดครั้งนี้ที่ถูกสังเวยไปทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา นับรวมเป็นจำนวนมากมายถึง 147 ศพ เสียงโหยหวนคร่ำครวญของญาติผู้เสียชีวิตยังคงระงมอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับบรรยากาศในหมู่บ้านที่เคยหนาแน่น กลับกลายเป็นเสมือนราวหมู่บ้านร้างไปในบัดดล?!
จากวันนั้นถึงวันนี้รวมระยะเวลา 7 ปีเต็มแล้วกับอุทกภัยมหาโหด!...ที่กลืนชีวิตคนนับร้อยความแปรเปลี่ยนเกิดขึ้นกับบ้านน้ำก้อ ประหนึ่งทับถมเหตุการณ์วิปโยคเอาไว้ยังพื้นดินแห่งความเจริญที่คืบคลานเข้ามา ถนนหลายสาย หลายซอยถูกปรับให้สูงขึ้น หมู่บ้านที่เคยถูกน้ำป่าพัดหาย ถูกปลูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยความมั่นคงแข็งแรง ทั้งจากงบประมาณของทางการที่สนับสนุนช่วยเหลือ

"ตอนนั้นยายนอนอยู่ชั้นบนของบ้านซึ่งอยู่ติดคลองน้ำก้อได้ยินเสียงน้ำป่าไหลลงมาซู่ๆๆ เสียงมันดังมากราวกับฟ้าถล่ม ก็เลยลุกขึ้นออกไปดูที่นอกชาน เห็นทั้งต้นไม้ กิ่งไม้ถูกพัดมา เลยรีบตะโกนบอกลูกหลานในบ้านที่นอนอยู่ ก็ทำเอาบ้านของยายซึ่งเป็นคอนกรีตครึ่งไม้สั่นสะเทือนไปทั้งหลัง นั่งกันทุกคนก็ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โชคดีที่บ้านเราไม่เป็นไร" เป็นคำกล่าวของนางไหม แสงจำปา อายุ 75 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 12/2 หมู่ 5 ตำบลน้ำก้อ เล่าถึงเหตุการณ์วิปโยคครั้งนั้น ซึ่งคุณยายบอกว่า "ปัจจุบันยังพักอยู่ที่นี่และภาวนาทุกค่ำคืนขออย่าให้เหตุการณ์เช่น นั้นมันเกิดขึ้นอีก...แต่ถ้าให้ยายไปอยู่ที่อื่นในจุดที่ปลอดภัยเหมือนคนอื่นๆ เขา..บอกตามตรง ยายก็ไม่ไปหรอก อยู่ที่นี่มานานแล้ว เกิดที่น้ำก้อ โตที่น้ำก้อ ถ้าจะตาย ก็ขอตายที่นี่" คุณยายไหม กล่าว
ขณะที่ นายสุวิทย์ ภูสุวรรณรัตน์ อยู่บ้านเลขที่ 122 หมู่ 5 ตำบลน้ำก้อ เจ้าของกิจการโรงสี กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันอยู่ในความทรงจำผม มันลืมไม่ได้เลย ยิ่งฝนตกฟ้าร้องตอนไหน หลับตาไปก็ต้องสะดุ้งตื่น หลายครั้งเคยหูแว่วได้ยินเสียงน้ำป่าไหลลงมารุนแรง ยอมรับบางครั้งมันก็หลอน เพราะภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นมันติดตา โดยเฉพาะภาพน้ำป่าที่หอบต้นไม้ บ้านเรือนผู้คนมาพร้อมๆ กับศพคนตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำเอาผมแทบหมดตัว โรงสีเสียหายจนปัจจุบันต้องเลิกกิจการไป รวมไปถึงความซวยอย่างสุดๆ เพราะก่อนเกิดเหตุการณ์ราว 1 เดือน ได้ซื้อรถเบนซ์ป้ายแดงใหม่เอี่ยมมา 1 คัน ด้วยราคา 2 ล้านเศษ ต้องถูกน้ำป่าพัดจนเสียหาย แทบใช้งานไม่ได้ จากนั้นชีวิตเราที่มีฐานะพอมีพอกินก็ต้องมีโรคประจำตัวหลายโรค ส่วนภรรยาก็อยู่ในอาการหวาดระแวงจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม มีชาวน้ำก้อจำนวนไม่น้อยที่ได้อพยพออกจากหมู่บ้านไป โดยไปปลูกที่พักแห่งใหม่ในจุดที่ปลอดภัย บ้างก็ไปปลูกอยู่กับญาติในตำบลอื่น โดยหนึ่งในนั้นมี นางสุวภา ออดดี อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ 6 ตำบลน้ำก้อที่ย้ายบ้านเรือนออกจากพื้นที่ กล่าวว่า ตนและครอบครัวเกรงว่าจะได้รับอันตรายหากเกิดมีน้ำป่าไหลเข้าท่วมหมู่บ้านอีก เพราะก่อนหน้านี้ก็ได้เกิดมีกระแสน้ำป่าพัดฝายกั้นน้ำจนพัง ทำให้ปริมาณน้ำป่าในคลองห้วยน้ำก้อเอ่อทะลักเข้าท่วมบริเวณบ้านพักระดับน้ำสูงถึง 50 เซนติเมตร ตั้งแต่เกิดเหตุอุทกภัยดินโคลนถล่มเมื่อปี 2544 เป็นต้น ทุกครั้งที่มีฝนตกหนัก ฉันและเพื่อนบ้านต่างหวาดผวานอนกันไม่หลับเลย ภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นมันยังติดตาอยู่ บางคืนก็ตื่นตอนตี 2 ตี 3 ลุกขึ้นมาเฝ้าดูสถานการณ์ยันแจ้ง
สำหรับอำเภอหล่มสัก มีจุดเสี่ยงภัยจากการเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มสูงสุดถึง 21 ตำบล 140 หมู่บ้าน ในจำนวน 11 อำเภอ 86 ตำบล 465 หมู่บ้าน ทางจังหวัดฯ ได้นำเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน จำนวน 394 เครื่อง และเครื่องไซเรนเตือนภัยแบบมือหมุนจำนวน 149 ตัว ไปติดตั้งให้กับหมู่บ้านในจุดเสี่ยงภัย โดยเฉพาะบ้านน้ำก้อ

"ได้มีการติดตั้งเครื่องเตือนจำนวนหลายจุด ความอบอุ่นใจจากการที่ทางการนำเครื่องเตือนภัยมาติดตั้งก็ไม่ได้ทำให้พวกเราคลายความกังวลได้ แต่ก็ดีกว่าภาครัฐไม่ได้ทำอะไรเลย โดยความรู้สึกแล้วเชื่อว่าแม้จะสร้างความอบอุ่นใจอย่างไร ชาวบ้านทุกคนก็ยังคงหวาดผวาอยู่ดี อย่างเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ฝายกั้นน้ำบ้านก้อก็พัง ทำให้น้ำป่าไหลลงมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาชาวบ้านต่างตื่นตระหนก ทำให้หลายครอบครัว รวมทั้งหนูด้วยย้ายไปปลูกบ้านเรือนอยู่ที่แห่งใหม่" นี่เป็นคำกล่าวของนางสาวอรนิช สาสีคำ อายุ 18 ปี ชาวบ้านน้ำก้อ เธอยังเล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า "ตอนนั้นอายุ 11 ขวบ ตื่นขึ้นมาตอนตีสามเศษๆ เพราะเสียงน้ำป่าที่ไหลลงมาดังมากๆ โชคดีที่อยู่ชั้นบนของบ้านเลยไม่ได้รับอันตราย แต่ก็รู้สึกกลัวเมื่อเห็นกระแสพัดมาพร้อมกับศพคนตายและซากบ้านเรือน มีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งเพื่อนๆ และญาติๆ ที่เสียชีวิตกับเหตุการณ์หลายคน"
..........เหตุการณ์วิปโยคน้ำก้อ แม้จะผ่านมาครบ 7 ปีเต็มแล้ว น่าจะเป็นอุทาหรณ์และเป็นบรรทัดฐานต่อการป้องกันปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่มได้เป็นอย่างดี เนื่องจากตัวเลขหมู่บ้านเสี่ยงภัยของจังหวัดเพชรบูรณ์มีสูงถึง 465 หมู่บ้าน โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อม เช่น การจัดเวรยามอย่างเข้มงวดในช่วงฤดูฝน หรือการหมั่นสำรวจเครื่องเตือนภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้โดยตลอด รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐจะต้องประกาศเตือนให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเกิดการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่เน้นแต่เพียงการซ้อมแผนอพยพหรือแผนรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ เพราะนั่นเป็นแค่การเตรียมความพร้อมเมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว ดังนั้นจึงต้องเน้นการเตรียมความพร้อม และแผนการป้องกันก่อนปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นย่อมจะดีกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก โดย
โดย ฤทธิพงษ์ อำพันธ์ / เอกสิทธิ์ ต่อวัฒนบุย






