ร่วมให้กำลังใจ สไบทอง เด็กหญิงหัวใจแกร่ง

สไบทอง

สไบทอง

สไบทอง



สไบทอง

สไบทอง



สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก pantip.com และ tvburabha.com 


         เชื่อว่าหลายคนยังคงจำภาพ "สไบทอง" เด็กหญิงนัยน์ตาเศร้าหมอง สิ้นหวัง ใบหน้าที่น้อยคนนักแทบจะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม พร้อมกับซาเล้งคู่ใจที่ทุกวันเธอต้องใช้มันในการหาเลี้ยงชีพอย่างแสนลำบาก หลังจากชีวิตของเธอถูกนำมาตีแผ่ผ่านทางรายการ "คนค้นฅน" ไม่นาน กำลังใจและความช่วยเหลือจากผู้ชมรายการก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมาย และนี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตที่ทำให้สไบทองเป็นที่รู้จักและมีชีวิตที่ดีขึ้น


สไบทอง



         ทุกวันนี้สไบทองไม่ได้อาศัยอยู่กับผู้เป็นป้าเหมือนดังเดิม หากแต่ได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่บังเกิดเกล้าที่สถานสงเคราะห์วังทอง หลังจากภรรยาผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เหล่ากาชาด และสถานสงเคราะห์วังทองนำเธอมาอุปการะ หลังจากได้เห็นความยากลำบากของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผ่านจอโทรทัศน์ และแม้ว่าความฝันของสไบทองที่ปรารถนาจะให้แม่ซึ่งมีอาการทางจิตจดจำเธอได้ยังไม่เป็นดังหวัง แต่สไบทองก็เริ่มที่จะได้สัมผัสกับคำว่า "ความสุข" และรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ หลังจากได้มาอยู่ที่นี่ และทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนนี้พวกเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหญิงทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นเวลาที่เด็กหญิงเล่นอยู่กับเพื่อนๆ อยู่กับแม่

          "พี่กล้ากอดหนูด้วยเหรอ รู้ไหมในชีวิตนี้ไม่เคยมีใครกอดหนูเลย ทุกครั้งที่เห็นป้ากอดหลาน หนูอิจฉา หนูอยากได้อย่างนั้นบ้าง พี่อย่าปล่อยมือนะ . . . พี่กอดหนูอย่างนี้ทุกวันได้ไหม หนูอยากให้พี่กอดอยู่อย่างนี้ ไม่อยากให้ปล่อย เราก็เลยต้องกอดเขาก่อนนอนทุกคืน" นี่คือคำพูดจากกุ๊กไก่ อุรารัตน์ ทอกไข นักจิตวิทยาประจำสถานสงเคราะห์วังทอง ที่ดูแลเด็กหญิงสไบทอง


สไบทอง



         ชีวิตใหม่ของ "สไบทอง" หรือ "เด็กหญิงมนัสนันท์ อิ่มกระจ่าง" ยังเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ ความไม่คุ้นเคยในเรื่องของการกินอาหารที่บริบูรณ์ กับการนอนและตื่นที่ผิดแผกจากชีวิตประจำวันเดิมๆ ทำให้สไบทองต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่สักพัก จนคุ้นชินในเวลาไม่นานนัก


สไบทอง



         "แรกๆ ที่มาอยู่ใหม่ๆ น้องเขาจะสะดุ้งตื่นตอนตีสามทุกคืน ลุกแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องมีเสียงนาฬิกาปลุก เพราะมันเป็นเวลาที่เขาเคยตื่นไปซื้อผักที่ตลาด ส่วนตอนเข้านอนเขาก็จะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเราจะเข้านอนประมาณสองทุ่ม แต่ปกติสามสี่ทุ่ม บางทีเขายังต้องตระเวนขายผักขายปลาอยู่เลย กว่าจะได้กลับบ้านเข้านอนก็ห้าทุ่ม หรือเที่ยงคืนจึงอาจทำให้เขาไม่ชิน . . . ส่วนเรื่องการกินข้าวนี่เขาก็ไม่ค่อยกล้าตักกับตักเนื้อมากิน จำได้ว่าเราซื้อปลาราดพริกมาสองตัว เป็นกับข้าวให้เขากินตอนกลางวัน บ่ายเรากลับมาถามเขาว่ากินข้าวหรือยัง เขาบอกว่ากินแล้ว พอเราไปดูปรากฎว่าปลายังอบยู่เหมือนเดิม แต่น้ำที่ราดตัวปลานี่แห้ง ต่อมากินข้าวด้วยกันเราเลยบอกเขา ของบนโต๊ะนี้กินได้ทุกอย่างไม่ผิด ไม่มีใครว่า เขาจึงกล้ากิน" คำยืนยันของเจ้าหน้าที่ที่เล่าถึงการใช้ชีวิตแห่งใหม่ของเด็กหญิงสไบทอง

สไบทอง



         ความน่ารักของเด็กหญิงสไบทองนำผลให้เธอเป็นที่รักมากขึ้น ทั้งจากเพื่อนในโรงเรียนที่แต่ก่อนเคยรังเกียจและไม่เคยเล่นกับเธอ เหล่าคุณครูที่ให้ความเอ็นดูและช่วยเหลือเธอมาตลอด หรือแม้แต่คนปลายสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบของสไบทองอย่างไม่ขาดสาย จึงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า สถานสงเคราะห์วังทองเป็นที่ที่สอนให้เธอได้รู้จักคำว่า "มิตรภาพ" และทำให้เธอเข้าใจคำว่า "เพื่อน" มากขึ้น จากแต่เดิมที่ไม่น้อยนักที่เธอจะได้สัมผัสกับคำคำนี้ และสถานที่แห่งนี้ยังช่วยดึงความสดใส ร่าเริงของเธอออกมาเติมเต็มชีวิตในวัยเด็กให้สมบูรณ์ เหมือนชีวิตของเด็กคนอื่นๆ อีกด้วย


สไบทอง



         อย่างไรก็ตาม แม้จะมีน้ำใจและความช่วยเหลือจากผู้คนที่ไม่รู้จักต่างหยิบยื่นเข้ามาให้ แต่เด็กหญิงวัยสิบสี่คนนี้ก็ ไม่ได้รู้สึกทะนงตน หรือรู้สึกว่าตัวเองดีไปกว่าคนอื่น ทุกวันนี้เธอยังคงเรียกหารถซาเล้งคันเดิม เพื่อที่จะปั่นออกไปขายผักอย่างชีวิตในอดีต ด้วยความปรารถนาที่จะนำเงินมาสร้างบ้านให้ตาผู้เป็นที่รักของเธอเอง


สไบทอง




         อีกบุคคลหนึ่งที่สไบทองประทับไว้ในใจว่าเป็นผู้มีคุณของเธอ นั่นก็คือ "ป้า" ผู้ที่เลี้ยงเธอมากว่า 8 ปี แม้ชีวิตในสมัยที่อยู่กับป้าจะไม่ได้สบายนัก แต่สไบทองก็ยังอดเป็นห่วงป้าไม่ได้ ถ้อยคำแต่ละคำที่สไบทองพูดถึงป้านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องป้าของเธอ ให้พ้นจากการถูกกล่าวหาต่อว่า นั่นเพราะในสายตาของสไบทอง ป้าก็คือคนที่มีบุญคุณกับเธอที่สุด และเธอก็หวังที่จะให้ป้าอยู่สบาย หลายครั้งที่ผู้เป็นป้ามาชวนสไบทองกลับไปอยู่ด้วยกัน แต่เธอก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเด็กน้อยเห็นว่าในขณะนี้ความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ  เธอหวังว่าการมาอยู่ที่นี่จะทำให้แม่หายเร็วขึ้น และเป็นดังเดิมในอีกไม่นาน

         ถึงแม้สไบทองมีภาพความทรงจำระหว่างเธอกับแม่ไม่มากนัก แต่เธอยังรักและผูกพันกับแม่ . . . เท่าที่จำได้ในช่วงชีวิตวัยเด็ก ตอนเย็นแม่จะพาเธอออกไปเดินเล่นตามรางรถไฟ โดยไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทาง ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการทักทาย ไม่มีประโยคอื่น มีเพียงบทเพลงที่ร้องจากปากแม่ และสายตาที่เหม่อลอยของแม่ ใครที่เห็นเขาจะบอกว่า คนบ้าพาเด็กเที่ยว บางที่แม่จะพาสไบทองไปขึ้นรถโดยสาร แต่พอแม่ไม่มีตังค์จ่าย เขาก็จะไล่แม่และสไบทองลงจากรถ ตอนนั้นเธอและแม่เปียกทั้งคู่เลยทีเดียว


 

สไบทอง



         แรกเริ่มที่สไบทองมาหาแม่ ก็มาเพื่อเอาการ์ดที่เขียนและทำเองด้วยสองมือกับหนึ่งหัวใจมามอบให้ เธอเองมิได้ล่วงรู้ว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาใช้ชีวิตกับแม่อีกครั้งเหมือนในตอนเป็นเด็ก แม้เธอจะรับรู้สัมพันธภาพอยู่เพียงฝ่ายเดียวเนื่องจากผู้เป็นแม่ไม่รู้ว่าลูกเป็นลูก แต่ผู้เป็นลูกกลับรับรู้ว่าแม่เป็นแม่และรู้สึกอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้ชิด และการที่แม่ไม่รับรู้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนักสำหรับเธอ เพราะสิ่งที่เธอหวัง คือ การได้อยู่ใกล้ๆ คนที่เธอรัก โดยที่คนคนนั้นไม่ตอบแทนความรักของเธอด้วยการเหยียบย่ำ ทำร้าย เท่านี้ก็มากเกินพอแล้วสำหรับคำว่าความสุขที่เธอได้รับ


สไบทอง



         ในช่วงที่ลมพายุพัดกระหน่ำใส่เด็กหญิงตัวเล็กๆ จนแทบจะไม่มีแรงยืน แต่สไบทองก็ยังสามารถยืนหยัดต่อสู้กับลมฝนนั้นอย่างไม่หวาดหวั่น ณ วันนี้ ลมพายุกำลังค่อยๆ พ้นผ่านไป ด้วยความเชื่อมั่นว่าฟ้าหลังฝนของเธอก็คงจะสดใสพร้อมๆ กับรอยแผลในความทรงจำที่จะลบเลือนหายไปตามกาลเวลา ว่าแล้ว... เรามาร่วมเป็นกำลังใจให้สไบทอง เด็กหญิงหัวใจแกร่ง มีชีวิตที่สดใสขึ้นทุกวันๆ กันดีกว่าค่ะ สู้ๆ




          คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

 




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 



 

สไบทอง


นิตยสาร ฅ คน ฉบับที่ 37 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2551

 

แนะนำเนื้อหาในนิตยสาร ฅ คน ฉบับที่ 37 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2551

 เรื่องจากปกฟ้าเมื่อหลังฝน

        - ชีวิตของเธอสมควรจะแต้มประดับด้วยรอยยิ้ม และความหวังใหม่ๆ ในวันที่เมฆร้ายพัดผ่าน ได้อยู่ใกล้ๆกับแม่ ทำความฝันให้เป็นจริง หากวันนี้ สำหรับสไบทอง บางทีฟ้าหลังฝน ยังไม่ใส

 รายงานพิเศษ รอยยิ้ม เรือ และ ความทรงจำพิเศษ

        - ปู่เย็นจากไปแล้วในปีที่ร้อยแปด อย่างเดียวดาย บนเรือกลางลำน้ำเพชร ทิ้งไว้ก็แต่ภาพประทับอันจีรังของชีวิตที่มันควรจะเรียบง่าย งดงาม และทระนง  

 สัมภาษณ์พิเศษ ดร. อัมมาร สยามวาลา

        - วิกฤตเศรษฐกิจหนนี้ สำหรับเขา, ไม่ใช่สึนามิ เป็นเพียงพายุลมแรงที่รับมือได้โดยไม่ต้องอพยพหนี ท่ามกลางความปั่นป่วนของระบบการเงินโลก เขามองทุนนิยมในแบบที่มันเป็น ไม่ใช่ในแบบที่เรากลัว

 สกูปพิเศษ นิวโลว์แห่งชีวิต

        - เมื่อหนี้สินพาชีวิตลงไปถึงจุดต่ำสุด ในไม่ช้ามันก็ต้องดีดตัวขึ้นมาเอง ฟังปรัชญาชีวิตของคนเป็นหนี้ ที่ไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ทำร้ายลูกเมีย

 ของฝากนักอยากเขียน สารคดีอย่างไร

        - วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ แห่งนิตยสาร สารคดี มาบอกถึงการทำงานกับความจริง ที่ต้องอาศัยความคิดที่สร้างสรรค์ในทุกขั้นตอน 

 


 

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ร่วมให้กำลังใจ สไบทอง เด็กหญิงหัวใจแกร่ง อัปเดตล่าสุด 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 16:11:11 277,703 อ่าน
TOP
x close