ความน่ากลัวอันเหลือทนของสิ่งไร้ชีวิต

ผี ฮาโลวีน

ความน่ากลัวอันเหลือทนของสิ่งไร้ชีวิต


ความน่ากลัวอันเหลือทนของ  "สิ่งไร้ชีวิต" (สุดสัปดาห์)

         ยังมีทฤษฎีและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ  ที่เรียกว่าผีได้

Science & Ghost

         จำทฤษฎีเรื่องพลังงานของอัจฉริยะสติเฟื่องอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein, 1879-1955) ได้หรือไม่ เขาเสนอไว้ว่า พลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่หรือย่อยสลายได้ แต่พลังงานสามารถเปลี่ยนรูปจากประเภทหนึ่งไปสู่อีกประเภทหนึ่ง คุณเริ่มจำได้แล้วใช่ไหมว่ามีคนเคยกล่าวว่า "ผีเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง"

         ไฟฟ้า น้ำ และพลังงานความร้อนต่างก็เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งบนโลกนี้ และมันก็อยู่ในระบบต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ด้วย เมื่อคนเราตายไป แน่นอนส่วนเนื้อหนังมังสาก็ย่อยสลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก และประจุไฟฟ้า ความร้อนที่เคยวิ่งไปตามระบบประสาทของเราล่ะ มันหายไปเฉย ๆ หรือมันเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานแบบอื่น

         ยังมีนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอีกคนที่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย เขาเป็นนักประดิษฐ์อัจฉริยะ โทมัสเอดิสัน (Thomas Edison 1847-1931) เขาสร้างมาหมดแล้วทั้งหลอดไฟ แผ่นเสียง เครื่องพิมพ์ดีด มอเตอร์ไฟฟ้า มีเรื่องเล่าว่าเขามีโครงการลับโครงการหนึ่งสำหรับชีวิตในช่วงบั้นปลาย เขากำลังสร้างเครื่องมือที่สามารถทำให้คนเป็นเห็นและติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณ (soul) ของคนตายได้ ส่วนตัวแล้วเขาเชื่อว่าจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตประกอบขึ้นด้วย "หน่วยชีวิตหลายหน่วย" หรือ "life units" หน่วยชีวิตเล็ก ๆ มากมายเหล่านี้สามารถเรียงตัวใหม่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างอะไรก็ได้ หน่วยชีวิตเหล่านี้มีหน่วยเก็บความจำ เก็บบุคลิกลักษณะ และไม่สามารถถูกทำลายได้ เครื่องมือของเอดิสันจะคอยตรวจจับหน่วยชีวิตเหล่านี้และเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างคนเป็นและคนตาย

ผีคืออะไร
         
         "ผีคืออะไร" หลายคนบอกตัวเองว่าเป็นคนกลัวผี แต่จะมีสักกี่คนที่เคยเห็นผีจริง ๆ มีหลายทฤษฎีที่บอกว่าผีมีจริง และมีอีกหลายทฤษฎีที่บอกกับเราว่าผีเป็นเพียงแค่จินตนาการของคนเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีทฤษฎีทางฟิสิกส์รองรับว่าผีมีตัวตนจริง ซึ่งหากปรากฏกายขึ้นจะมีเนื้อที่ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร เฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม โดยมีลักษณะมาตรฐาน 7 ข้อดังนี้ (ดร.โดนัลด์จี. คาร์เพนเตอร์)

          ปรากฏตัวในเวลากลางคืนเท่านั้น โดยปรากฏตัวแต่ละครั้งประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาที 

          ผีสามารถปล่อยแสงสว่างได้ แต่ต้องมีความเข้มของแสง 1-20 แรงเทียนคนถึงจะสามารถมองเห็นได้ 

          การปรากฏกายของผีจะต้องมีเครื่องนุ่งห่มเสมอ มีลักษณะโปร่งแสง มักมีขนาดเล็กกว่าคนทั่วไป 

          ผีจะหันหน้าเข้าหาคนที่เห็นเสมอ 

          ผีมักปรากฏในร่างมนุษย์ เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ปรากฏในร่างสัตว์ 

          การปรากฏกายของผีทำให้อุณหภูมิรอบข้างเย็นลง เพราะผีต้องดึงความร้อนจากภายนอกประมาณ 60 จูลส์เพื่อให้เกิดแสงสว่างในตัว 

          ส่วนใหญ่มักมีเสียงหรือกลิ่นด้วยในขณะที่ปรากฏตัว

         7 ข้อนี้คงพอให้เหตุผลเกี่ยวกับรูปร่างของผีที่หลาย ๆ คนเคยเจอกันมาบ้าง

ผี ฮาโลวีน

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ตรวจจับผี

         Electromagnetic Field คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

         หากยึดสามารถตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า  เมื่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถูกรบกวน จะมีประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น และตามหลักวิทยาศาสตร์อีกเช่นกัน ทุกสิ่วทุกอย่างสามารถปล่อยกระแสคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้แม้แต่ร่างกายของเราเอง ดังนั้นรอบ ๆ ตัวเราจะมีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ในระดับหนึ่ง เมื่อผนวกเข้ากับสมมติฐานที่ว่าผีเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้เองจึงบ่งบอกถึงการมาของ "ผู้มาเยือนที่เรามองไม่เห็น"

         EMF Detectors

         ปกติเครื่องนี้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจวัดการรั่วไหลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ในเตาอบไมโครเวฟและสายไฟที่ห่อหุ้มกระแสไฟฟ้าแรงสูง  แต่ดันถูกนำมาใช้จับผี เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทุกครั้งที่มีการตรวจจับผีได้ ในบริเวณที่พบว่าผีมาปรากฏอยู่มักจะมีร่องรอยของประจุไฟฟ้าปรากฏอยู่ด้วย เครื่องจับผีที่มักใช้กันคือเครื่อง EMF เครื่องนี้ตรวจจับผีโดยการวัดระดับประจุไฟฟ้าจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

          เจ้า EMF นี้สามารถตรวจจับได้แม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงโดยเฉียบพลันของประจุไฟฟ้าขนาดเล็กที่สุด รวมทั้งไฟฟ้าสถิตจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบ ๆ บริเวณนั้น ฉะนั้นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดที่มีการแปรสัญญาณภาพและเสียงที่สามารถปล่อยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้อย่างทีวี วิทยุ และคอมพิวเตอร์ จึงแสดงอาการปั่นป่วนเมื่อมีพลังงานลึกลับมาปรากฏ ครั้งต่อไปเมื่อทีวีของคุณภาพล้ม วิทยุเปลี่ยนคลื่นเองหรือคลื่นตก คอมพิวเตอร์ทำงานผิดปกติ ต้นเหตุอาจไม่ใช่การขัดข้องจากสัญญาณไฟฟ้าก็เป็นได้

         Geiger Counters

         ปกติแล้วเครื่องนี้ใช้วัดคลื่นกัมมันตภาพรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา เพื่อวัดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี ที่ใช้เครื่องนี้เพราะมีการค้นพบว่า ในบริเวณที่มีรายงานการปรากฏตัวของผีจะมีร่องรอยของกัมมันตรังสีด้วย

         ถ้าไม่ลำบาก อยากจะขอร้องคุณที่กำลังอ่านอยู่ลองนึกถึงคราวที่เคยเจอผีดูซิว่ามีความรู้สึกเหล่านี้อยู่หรือเปล่า

ความรู้สึกเวลาเห็นผี

         หนาว : อย่างที่บอกมาตอนต้นว่าผีต้องใช้พลังงานความร้อนจากภายนอก ดังนั้นเวลาที่เราเห็นผี บรรยากาศภายนอกจะเย็นขึ้นอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ยังมีแนวความคิดว่าผีคือพลังงานที่ประกอบด้วยโมเลกุล ซึ่งโมเลกุลจะรวมตัวกันในอากาศเย็นและกระจายตัวในอากาศร้อน ถ้านึกไม่ออก ลองนึกถึงน้ำแข็งกับน้ำเดือดดู เพราะใช้หลักทฤษฎีเดียวกัน

         รู้สึกเหมือนมีคนมอง : เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้วว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนมอง เราจะรู้สึกได้ทันทีว่ามีคนมองเราอยู่ เช่นเดียวกันเมื่อมีบางสิ่งที่ไม่ใช่คนมองเราอยู่ เราก็จะรู้สึกได้ทันที...ถ้าไม่เชื่อลองมองไปด้านหลังดูสิ

         รู้สึกเหมือนคนเดินผ่าน : ประสบการณ์ส่วนใหญ่ของคนเห็นผีจะเกิดขึ้นตอนนอน ถึงแม้ว่าคุณจะหลับตาอยู่ก็ตามคุณจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเดินผ่านมาผ่านไป เป็นเหมือนลมเย็น ๆ ที่มาสัมผัสที่ผิว และทำให้เกิดปฏิกิริยาในข้อต่อไป

         ขนลุก : ใครไม่เคยเจอผี อาจไม่รู้ว่าคำว่าขนหัวตั้งสามารถเกิดขึ้นจริงได้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเกิดเพราะความเย็นหรือเกิดเพราะความกลัวก็ตาม

         ได้กลิ่นและเสียง : หลายคนอาจไม่เคยเจอผีที่เป็นรูปเป็นร่าง แต่แทบทุกคนคงเคยได้กลิ่นและเสียงแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันมาจากไหน เช่นเมื่อมีญาติพี่น้องเสียชีวิต เรามักจะได้กลิ่นและเสียงที่คุ้นเคยของคนที่จากไป เช่น กลิ่นน้ำหอม กลิ่นยานัตถุ์ หรือไม่ก็กลิ่นรูป ดอกมะลิ กลิ่นน้ำอบ บางทีถึงขั้น กลิ่นเหม็นสาบเหมือนกลิ่นศพเลยก็มี

         หมาหอน : สุนัขเป็นสัตว์ที่มีประสาทที่มีประสาทสัมผัสเร็วกว่าคนทั้งเรื่องเสียและกลิ่น ดังนั้นไม่แปลหรอกที่คนโบราณจะเชื่อว่าเมื่อหมาหอนแปลว่าต้องเกิดจะไรแปลก ๆ ขึ้นแน่ ๆ ถึงแม้จะเป็นคนสมัยใหม่ก็เถอะ เมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงหมาหอนจะต้องนึกถึงเรื่องผีขึ้นมาทุกที

         การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างเฉียบพลันสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์เช่นกัน

Temperature Changes

         ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วอุณหภูมิจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อมี "บางสิ่ง" เข้ามารบกวนอุณหภูมิที่คงที่อยู่  จากการตรวจจับอุณหภูมิบริเวณที่เชื่อว่ามีผี มักมีการบันทึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของอุณหภูมิมากกว่า 10 องศาฟาเรนไฮต์

Cold Spots

      ผู้ที่ร่วมการตรวจจับผีมักรายงานว่า  "รู้สึกถึงบริเวณที่เย็นกว่าบริเวณทั่วไป" ความรู้สึกเย็นยะเยือกนี้สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ว่าผีเป็นรูปแบบพลังงานที่ดูดความร้อน การที่วัตถุดูดความร้อนนี้เองที่ทำให้อุณหภูมิรอบข้างลดต่ำลง ผีแบบนี้ไม่สะท้อนแสง เราจึงมองไม่เห็นแม้แต่ในความมืด

Hot Spots

         แต่ก็มายงานที่ตรงกันข้ามด้วยเช่นกัน บางครั้งจุดที่พบว่าผีกำลังปรากฏ  ก็มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน  ทั้งนี้เป็นเพราะผีประเภทนี้สะท้อนแสงแทนที่จะดูดแสง (ความร้อน) เมื่อแสงสะท้อนออกมาจึงทำให้อุณหภูมิรอบข้างสูงขึ้น และเมื่อผีแบบนี้สะท้อนแสงได้ เราจึงมีสิทธิ์มองเห็นพวกเขาได้ด้วยตาเปล่า เพราะการที่คนเรามองเห็นได้ เกิดจากการที่วัตถุสะท้อนแสงกลับเข้าตาเรา ครั้งหน้าเมื่ออยู่ในความมือ โปรดเพ่งมองดี ๆ

โพลเทอร์จีสต์ (Poltergeists)

         "ผีหลอกวิญญาณหลอน"  นี่ไม่ใช่ชื่อหนังภาคภาษาไทยของ Poltergeist (1982) แต่เป็นประเภทผีที่อยู่ใกล้ตัวคนที่สุด เพราะมันสิงอยู่ในเคหสถานทั่วไป ลองนึกถึงผีอย่างนิโคล คิดแมนใน The Others (2001) หรือ The Haunting (1999) หรือคุณอาจจะคิดว่ามันก็แค่ผีบ้านผีเรือนโอ้ว มันไม่ใช่เลย

         โพลเทอร์จีสต์อาจเป็นผีที่คนเราคุ้นเคยกันบ่อย ๆ เพราะมักเกิดขึ้นในอาคารที่อยู่อาศัยที่มีคนอยู่มันคือรูปแบบของผีประเภทหนึ่งซึ่งชอบก่อกวนมากกว่าหลอกหลอน (แต่ไม่ได้แปลว่าไม่หลอกหลอนนะ) ชื่อนี้มาจากคำภาเยอรมัน  poltern แปลว่า "เคาะ" ส่วน geist แปลว่า "ผี" ทั้งนี้เป็นเพราะผีประเภทนี้ชอบมาในรูปแบบเสียง โพลเทอร์จีสต์เป็นผีที่พบได้ทั่วโลกและมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

          เวลาปรากฏตัวของผีประเภทนี้มักเป็นเวลากลายคืน โดยต้องมีคนเป็นร่วมอยู่ด้วยคนเป็นที่พูดถึงนี้เรียกว่า "ตัวสื่อ" ซึ่งมักเป็นเพศหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี ความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจคือ โพลเทอร์จีสต์เป็นผีอึกทึก แต่ถ้ายิ่งรู้จักโพลเทอร์จีสต์มากขึ้น คุณจะเรียกพวกเขาว่าผีอุกฉกรรจ์ มีการจัดลำดับความน่ากลัวและรุนแรงของโลเทอร์จีสต์ไว้ 5 อันดับจากมากไปหาน้อย

          ระดับหนึ่ง

         คำอธิบาย ระดับนี้มีชื่อเรียกว่า Senses Attack ในระดับแรกนี้โพลเทอร์จีสต์เริ่มรบกวนแค่ส่วนประสาททั้งหกของคนเท่านั้น

         การปรากฏ  คุณจะรู้สึกถึงระดับอุณหภูมิบริเวณใดบริเวณหนึ่งลดลงอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงประหลาด ได้กลิ่นผิดปกติ ได้ยินเสียเท้าเดิน ถ้ามีสัตว์อยู่ใกล้ๆ คุณ มันจะมีพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่นวิ่งออกไปจากห้องทันที และตัวคุณเองก็จะรู้สึกว่ากำลังถูกใครแอบมอง

          ระดับที่สอง

         คำอธิบาย  ในระดับนี้การเปลี่ยนเกิดขึ้นน้อยมาก การรับรู้ด้วยประสาททั้งหกของคุณไม่ต่างไปจากระดับแรกเท่าไร นอกจากความผิดปกติ เหล่านั้นจะแสดงออกอย่างชัดเจนมากขึ้น

         การปรากฏ  คุณจะได้ยินเสียงกระซิบ เสียหัวเราะกุ๊กกิ๊กจนถึงดังมากได้ยินเสียงโอดครวญโหยหวนและเสียงกรีดร้อย คุณจะเห็นเงาวูบวาบหรืออาจจะมีลมพัดไปมาในบริเวณที่ปิดมิดชิด คุณอาจเห็นก้อนอะไรคล้ายก้อนเมฆลอยไปมา มีไฟฟ้าสถิตที่รุนแรงเกิดขึ้น มีรอยแปลกๆ เกิดขึ้นบนพื้นหรือกำแพง (แต่ไม่ใช่ตัวหนังสือ)

          ระดับที่สาม

         คำอธิบาย  ระดับนี้เรียกว่า Classic Haunting เพราะโพลเทอร์จีสต์จะเลิกล้อเล่นกับคุณแล้ว ในระดับก่อนหน้านี้คุณอาจปลอบใจตัวเองได้ว่า "ไม่มีอะไรหรอก ฉันคิดไปเอง" แต่ในระดับสามนี้เตรียมตัวเชื่อเถิด

         การปรากฏ  อุปกรณ์ไฟฟ้าเปิดปิดเองไม่หยุด คุณรู้สึกได้ว่ามีมือมาสัมผัสหรือจับตัวคุณ มีตัวหนังสือหรือลวดลายปรากฏที่กำแพง ประตูเปิดปิดเอง หรือลูกบิดประตูเปิดและล็อคไม่หยุด ได้ยินเสียงหรือคำพูดชัดเจน เห็นรูปร่างบางอย่างสีดำชัดเจน มีการพยายามติดต่อสื่อสารกับคนเป็น และมีโทรศัพท์แปลกๆ เข้ามา

          ระดับที่สี่

         คำอธิบาย  ในระดับนี้คุณก็มั่นใจแล้วละว่ากำลังเผชิญอยู่กับผีและมันก็รู้แล้วว่าคุณรู้ ในระดับนี้โลเทอร์จีสต์จึงก่อกวนต่อไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในระดับนี้โพลเทอร์จีสต์จึงก่อกวนต่อไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ที่สำคัญในระดับที่สี่นี้เองที่พวกมันเริ่มเก็บข้อมูลว่าคุณกำลังกลัวอะไรบ้าง และมันก็เพิ่มความรุนแรงในสิ่งนั้น เพราะความกลัวของคุณคือพลังที่ทำให้มันยิ่งแข็งแกร่ง

         การปรากฏ  วัตถุในบ้านลอยไปมา เคลื่อนที่หรือปลิวว่อน บางชิ้นอาจหายไปแล้วไปโผล่อีกที่หนึ่ง เครื่องเรือนเขย่าไม่หยุด มีไฟลุกในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง มีการปรากฏตัวของบางสิ่งที่น่ากลัว คุณจะถูกผลักและเขย่า คุณจะเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงสั่งให้ทำโน่นทำนี่ รู้สึกคลื่นเหียนอาเจียน หน้าต่างหรือกระจกแตกเอง และตัวคุณก็ลอยขึ้นกลางอากาศเองด้วย

          ระดับห้า

         คำอธิบาย  ในระดับนี้คือระดับเรียกว่า "อันตราย" นับจากระดับนี้ไปโพลเทอร์จีสต์อาจวกกลับไประดับต้น ๆ ได้อีก อาจมีการหยุดพักบ้าง แต่ทุกระดับนี้จะเกิดตามมาเป็นวัฏจักร การก่อกวนและหลอกหลอนนี้อาจกินเวลาเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี

         การปรากฏ  คุณจะถูกกัด ตบ ชก ต่อย หรือแม้แต่ถูกข่มขืนวัตถุรอบตัวคุณกลับมีชีวิตขึ้นเอง คุณอาจถูกเข้าสิง อุปกรณ์ไฟฟ้า ภายในบ้านลุกไหม้ ทำให้ลุกลมใหญ่โต มีเลือดสาดอยู่บนกำแพงพื้น และเพดาน คุณจะถูกพลังลึกลับโจมตี อาจจะถูกฉุดให้ล้ม ถูกดึงผม มีดหรือของมีคมลอยขึ้นแล้วพุ่งไปมา วัตถุที่ใหญ่และหนักอาจโค่นล้มลง มีสัญลักษณ์และลายมือเขียนเพื่อข่มขู่ปรากฏขึ้นก่อนศตวรรษที่ 19 คนเชื่อว่าโพลเทอร์จีสต์เกิดจากอำนาจชั่วร้ายของซาตาน ภูตผีปีศาจ แม่มด และวิญญาณของคนตาย ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 การวิจัยทางฟิสิกส์ของเซอร์วิลเลี่ยม บาร์เร็ต (Sir William Barrett) และเฟรดิค ดับเบิ้ลยู. เอช. เมเยอร์ส (Fredic W.H. Meyers) สองผู้ก่อตั้งสถาบัน The Society of Physical Research พิสูจน์ว่าปรากฏการณ์โพลเทอร์จีสต์เป็นเรื่องจริง พวกเขากล่าวว่ามันมีลักษณะจำเพาะ ไม่เหมือนปรากฏการณ์ผีหลอกทั่วไป

         แต่ในช่วงยุค  30 การวิจัยของพวกเขาก็ได้รับการโต้แย้งจากนักฟิสิกส์และนักจิตวิทยา ชื่อว่านานเดอร์โฟเดอร์ (Nandor Fodor) โฟเดอร์กล่าวว่า ปรากฏการณ์โพลเทอร์จีสต์เป็นผลมาจากอาการป่วยทางจิตของคนเป็นที่มีการเก็บกดทางอารมณ์อย่างสูงเท่านั้น โดยเกิดจากการเก็บกดอารมณ์โกรธ เกลียด และความกดดันทางเพศ โรคนี้เรียกว่า Psychokinesis (PK) การทดลองของเขามีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับไปทั่ว โดยเฉพาะกรณีชื่อว่า "Thornton Heath Poltergeist" ซึ่งทำการทดลองที่อังกฤษกับหญิงคนหนึ่ง

         ถัดมายุค 60 วิลเลี่ยม โรล (William Roll) ผู้อำนวยการโครงการแห่งสถาบัน Physical Research Foundation รัฐนอร์ทแคโรไลนา ทำการวิจัยเพิ่ม โดยรวบรวมกรณีที่ได้รับการเก็บบันทึกในช่วงสี่ศตวรรษและจากร้อยกว่าประเทศ พบว่ายังมีโรคจิตอีกประเภทหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์โพลเทอร์จีสต์ นั่นคือโรค Recuttent Spontaneous Psychokinesis หรือ RSPK โรคนี้มักเกิดกับเด็กเล็กหรือวัยรุ่นที่เป็นโรค PK อยู่แล้ว แต่มีอาการรุนแรงมากกว่า ผู้ป่วยจะพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เพราะรู้สึกว่าเป็นการปลดปล่อยความเกลียดชังโดยไม่ต้องกลัวการลงโทษ แต่กระนั้นผู้ป่วยเหล่านี้จะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด

         ยังไม่มีการสรุปแน่ชัดว่าโพลเทอร์จีสต์เป็นอะไรกันแน่นักวิทยาสตร์และนักจิตวิทยาหลายคนแย้งว่า การทดลองมากมายทั้งหมดยังเชื่อไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ บางคนเชื่อว่าปรากฏการณ์โพลเทอร์จีสต์เกิดขึ้นเพราะวิญญาณของคนตายด้วยซ้ำ แล้วเราคนธรรมดาล่ะเชื่อว่า...

ผี ฮาโลวีน

วิธีสื่อสารกับผีและการทดลอง


         มีหลายเหตุผลที่ทำให้คนเราเห็นผี บางคนเชื่อว่าวิญญาณบางดวงยังไม่รู้ว่าตัวเองตาย จึงยังคงวนเวียนอยู่ในที่ที่คุ้นเคย บางคนเชื่อว่าวิญญาณต้องการบอกอะไรบางอย่างกับคน หรือบางคนอาจเจอวิญญาณอาฆาตที่ยังคงเร่ร่อนอยู่ในสองโลก ซึ่งวิญญาณเหล่านี้หาหนทางสื่อสารกับมนุษย์ด้วยหลากหลายจุดมุ่งหมาย ซึ่งมนุษย์ก็สรรหาหลากหลายวิธีเพื่อที่จะได้สื่อสารกับสิ่งที่เรียกว่าผีเช่นกันและนี่คือวิธีการต่างๆ ที่เราเชื่อว่าจะสามารถติดต่อกับผีได้

          ผีเหรียญบาท

         วิธีการ

         1. เขียนตารางตัวอักษร ก-ฮ ตัวเลข 0-9 สระและวรรณยุกต์ ชาย-หญิง บ้านพัก ทางเข้า-ทางออก 2. วางเหรียญที่จุดกึ่งกลางของกระดาษ 3. ท่องบทสวด นโม พุธธายะ 3 รอบ ต่อจากนั้นผู้เล่นทั้งหมดตั้งจิตอธิษฐานถึงดวงวิญญาณที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย

         เราได้ลองใช้วิธีการนี้สื่อสารกับดวงวิญญาณโดยถามเขาว่าเขาชื่ออะไร  ปรากฏว่าเหรียญเดินไปมาบนแผ่นกระดาษที่ตัวอักษร  ห-น-ง ซึ่งเราเดาว่าเขาคงชื่อหนึ่งหรือนง เป็นผู้หญิง เมื่อเราถามว่า เขาตายนานหรือยัง เหรียญหยุดนิ่งไปนาน ก่อนจะเคลื่อนไปที่เลข 1 และเมื่อถามว่าเป็นอะไรตาย เขาเคลื่อนไปที่-ร และ-ถ ต่อจากนั้นเหรียญก็หยุดเคลื่อนที่

         ข้อควรระวัง หากดวงวิญญาณไม่ยอมออกจากเหรียญ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้ท่องบทสวดชินบัญชรย้อนหลัง ดวงวิญญาณจะออกไปเอง

         Ouija (วีจา หรือผีถ้วยแก้วฝรั่ง)

         วีจามีลักษณะเป็นกระดานกับเบี้ย  ซึ่งมีวิธีการเล่นคล้ายผีถ้วยแก้วของไทย ซึ่งเป็นที่นิยมมากในอเมริกาเวลาเล่นผู้เล่นต้องเอานิ้วสัมผัสไปที่ตัวเบี้ย จากนั้นก็ลากตัวเบี้ยหมุนวนไปรอบ ๆ กระดานเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง ต่อจากนั้นเบี้ยจะเดินช้า ๆ ไปตามตัวอักษรต่าง ๆ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ซึ่งชาวอเมริกาถึง 64 เปอร์เซ็นต์คิดว่าวีจาเป็นของอันตราย 41 เปอร์เซ็นต์คิดว่าเบี้ยเดินได้เพราะจิตใต้สำนึกของคน 37 เปอร์เซ็นต์คิดว่าผีเป็นคนเดินเบี้ย

         เราลองเล่นผีถ้วยแก้วแบบตะวันตกกับเขาเหมือนกัน แต่ทุกคนที่เล่นคิดว่ามันเกิดจากใครคนหนึ่งรู้คำตอบแล้วเคลื่อนเบี้ย และเกิดจากการเกร็งของกล้ามเนื้อมากกว่า

         ผีถ้วยแก้ว

         วิธีการ
        
         1. เขียนตารางตัวอักษรเหมือนผีเหรียญ จากนั้นจุดธูปเชิญวิญญาณ 2. นำถ้วยแก้วใส่ควันธูปและปิดให้สนิท นำมาคว่ำลงบนแผ่นกระดาษ 3. อธิษฐานถึงดวงวิญญาณที่เราอยากสื่อสารด้วย 4. พูดคุยถามไถ่ 5. เชิญวิญญาณออก

         และอีกเช่นกัน เราลองทำตามวิธีการข้างต้น ไม่นานนักถ้วยแก้วก็เดินอย่างรวดเร็ววนไปมาเป็นวงกลมและมาหยุดที่ตัวอักษร ก และไปที่สระอู และวิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ –ฆ ไปที่ –ม สระอึ และ –ง ทีมงานถามต่อไปว่าเขาชื่ออะไร ปรากฏว่าถ้วยแก้วยังคงวิ่งวนไปที่เดิม บรรยากาศเริ่มน่ากลัวจนเราตัดสินใจเชิญออก แต่ถ้วยแก้วไม่ยอมหยุด และตกลงพื้นแตกในที่สุด หลังจากนั้นทีมงานต้องไปทำบุญกันยกใหญ่

         ข้อควรระวัง 

         1. อย่าให้ควันออกจากถ้วยแก้ว 

         2. อย่าเปิดถ้วยแก้วขณะที่เล่น 

         3. ตั้งจิตสมาธิให้แน่วแน่และสำรวมด้วยความบริสุทธิ์ใจ

         * หมายเหตุ : การทดลองเรียกผีทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเรื่องหลอกทั้งสิ้น (เห็นไหม คนหลอกเก่งกว่าผีเสียอีก) แต่วิธีการเรียกผีทั้งเป็นของจริง

         ไหนว่าคนส่วนใหญ่กลัวผี  แล้วอยากจะเจอผีกันไปทำไม




ขอขอบคณข้อมูลจาก

 

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ความน่ากลัวอันเหลือทนของสิ่งไร้ชีวิต อัปเดตล่าสุด 6 ตุลาคม 2557 เวลา 10:08:33 7,846 อ่าน
TOP
x close