
อายัดหนุ่มเสื้อแดงสอบคดียิงนศ.อุเทนฯ (คมชัดลึก)
เด็กปี 1 อุเทนถวายถูกยิงตายคาสถาบัน ขณะเปลี่ยนดอกไม้ไหว้พระวิษณุ เพื่อนให้การถูกคนร้ายยิงผ่านรั้วประตู พบปลอกกระสุน 11 มม. 5 ปลอกหน้า มหาวิทยาลัย ตรวจวงจรปิดมีจยย.ขี่วนเวียนก่อนยิง อายัดตัวหนุ่มเสื้อแดงสอบเข้มหลังมีอุบัติเหตุ จยย.ชนใกล้ที่เกิดเหตุเข้ารักษาตัว รพ.
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าเหตุ นศ.ปี 1 อุเทนถวาย ถูกยิงตายภายในมหาวิทยาลัย เมื่อเวลา 05.00 น. โดย ร.ต.ท.วันเฉลิม สีอ่อน ร้อยเวร สน.ปทุมวัน รับแจ้งเหตุนักศึกษาถูกยิงเสียชีวิต ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ถนนพญาไท แขวงและเขตปทุมวัน จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุภายในมหาวิทยาลัย อาคาร 2 ใต้บันไดหน้าห้องเก็บพัสดุ แผนกพัสดุ เจ้าหน้าที่พบศพ นายณัตกพันธุ์ คลองรอด อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาเทคโนจิสติกส์ และการจัดการระบบ สภาพนอนหงาย สวมกางเกงยีนขายาว เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีเขียวขี้ม้า ตรวจสอบพบบาดแผลถูกยิงที่ราวนมขวา 1 แผล ห่างออกไป 50 เมตร หน้าศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัย พบกองเลือดที่พื้น 2 กองยาวเป็นทาง และยังพบมีดปลายแหลมยาว 1 ฟุต ตกที่พื้น 1 เล่ม นอกจากนี้ยังพบขวดเบียร์ที่ดื่มแล้ววางทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ขวด
จากการสอบถาม นายประเทือง เกตุสุวรรณ อายุ 53 ปี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 04.00 น. นักศึกษากลุ่มของผู้ตาย 4 คน เข้ามาในมหาวิทยาลัย พร้อมกับถือดอกดาวเรืองเพื่อมาสักการะพระวิษณุ ตอนนั้นเห็นผิดสังเกต เพราะปกตินักศึกษาจะสักการะพระวิษณุทุกวันพฤหัสบดี จึงเข้าไปสอบถามและบอกว่าให้ระมัดระวัง จากนั้นได้เดินเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่เข้าห้องน้ำได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย คิดว่ากลุ่มนักศึกษาทะเลาะกันเอง เมื่อเดินออกมาพบนายณัตกพันธุ์เสียชีวิตอยู่ใต้บันไดของอาคารดังกล่าว จึงรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจทันที
จากการสอบสวนเพื่อนผู้ตาย กล่าวว่า ช่วงเช้ามืดก่อนเกิดเหตุกลุ่มเพื่อนเป็นเวรรับหน้าที่นำดอกไม้มาเปลี่ยนสักการะพระวิษณุ ทั้งนี้ระหว่างจะกราบไหว้เห็นจักรยานยนต์ขี่ผ่านนอกรั้วของมหาวิทยาลัย และสังเกตเห็นคนร้ายเป็นชายใส่เสื้อสีแดงเดินตามมาอีก 1 คน จากนั้นคนร้ายที่ใส่เสื้อแดงใช้ปืนสาดกระสุนเข้ามาในรั้ว ทุกคนต่างพากันหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง กระทั่งกลุ่มคนร้ายขี่จักรยานยนต์ผ่านไป จึงไปหาผู้ตายพบว่ามีบาดแผลจึงช่วยกันอุ้มร่างจากบริเวณหน้าศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยฯ มาไว้ใต้บันไดของอาคารดังกล่าว แต่นายณัตกพันธุ์เสียชีวิตในเวลาต่อมา
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุของตำรวจ สน.ปทุมวัน ยังพบปลอกกระสุน 5 ปลอก ตกอยู่บริเวณหน้าโรงรียน ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าห้างมาบุญครองพบว่า กล้องสามารถจับภาพชายต้องสงสัยขี่รถจักรยานยนต์ แต่ยังไม่ชัดเจน ขี่วนไปมาบริเวณหน้าโรงเรียนอยู่หลายรอบ ก่อนที่คนร้ายจะขี่มาจอดที่หน้าโรงเรียนแล้วใช้ปืนยิงผู้ตายก่อนขี่รถหลบหนี ซึ่งหลังเกิดเหตุพบว่ามีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ สีดำ ชนบริเวณหน้าห้างมาบุญครอง ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้รับบาดเจ็บขาหัก เจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ เพราะพบเสื้อยืดสีแดงถูกทิ้งไว้ในโรงพยาบาล โดยเจ้าหน้าที่ได้อายัดตัวเป็นผู้ต้องสงสัยไว้สอบปากคำแล้ว
จากการสอบปากคำพยานทราบว่า เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 10 ธันวาคม ผู้ตายโทรศัพท์บอกเพื่อนที่อยู่ด้านในโรงเรียนว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี มีวัยรุ่นขี่รถจักรยานยนต์มาวนเวียนบริเวณหน้าโรงเรียน จนกระทั่งถูกคนร้ายดักซุ่มยิงเสียชีวิตดังกล่าว เจ้าหน้าที่คาดว่าคนร้ายน่าจะดักซุ่มดูอยู่บริเวณปากซอยจุฬาฯ 12 ติดกับห้างมาบุญครอง
ต่อมาเวลา 11.00 น. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางมาที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ พร้อมด้วย นายศิริพงษ์ คลองรอด อายุ 50 ปี บิดาของผู้ตาย และนางกมลวรรณ คลองรอด อายุ 48 ปี มารดาผู้ตาย เพื่อรับศพนายณัตกพันธุ์ ท่ามกลางความโศกเศร้า โดยมีเพื่อนของผู้ตายประมาณ 10 คน มาร่วมรับศพด้วย
ทั้งนี้ นายศิริพงษ์ กล่าวว่า มีลูก 2 คน คนเล็กเป็นผู้หญิง ส่วนผู้ตายเป็นคนโต เป็นเด็กดี ธรรมะธัมโม สวดมนต์ไหว้พระอยู่เสมอ เวลาว่างก็จะหารายได้มาช่วยครอบครัวโดยไปซื้อแผ่นซีดีมาขายที่ตลาดนัดชลประทาน ผู้ตายกำลังเก็บเงินเพื่อซื้อรถจักรยานยนต์ไว้ใช้ทำงานส่งพิซซ่า แต่ก็มาเกิดเหตุเสียก่อน เมื่อเช้าที่ผ่านมาญาติดูข่าวทางโทรทัศน์ แล้วโทรศัพท์มาบอกว่ามีเด็กอาชีวะถูกยิงเสียชีวิตนามสกุลเดียวกับตน จึงรีบเปิดโทรทัศน์ดูแต่ก็ไม่ทัน จากนั้นโทรศัพท์ไปที่ สน.ปทุมวัน ก็พบว่าเด็กอาชีวะที่ถูกยิงเสียชีวิตคือลูกชายตนเอง
นายศิริพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ตายเพิ่งเข้าโครงการบรรพชาสามเณรอุเทนถวายเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง ที่วัดสระเกศ และไปจำพรรษาอยู่ที่แคมป์สน จ.เพชรบูรณ์ โดยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ตนกับภรรยาเพิ่งจะไปเยี่ยมลูกชายที่แคมป์สน จากนั้นผู้ตายสึกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม แต่ยังไม่ได้เจอหน้ากันเลย เนื่องจากลูกชายต้องไปเรียนวันอังคาร และอยู่ทำกิจกรรมจัดซุ้มรับปริญญาให้รุ่นพี่ ครั้งสุดท้ายได้คุยกับผู้ตายคือเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ขณะลูกทำกิจกรรมอยู่
"หลังจากนั้นตอนเย็นผมก็ไม่ได้โทรศัพท์ติดต่อลูกชายอีกเลย เพราะคิดว่ากลับบ้านแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกชายเรียนอยู่ที่ ร.ร.โปลีเทคนิค จ.นนทบุรี ผมก็เคยขอร้องไม่ให้เรียน เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่ลูกก็ให้เหตุผลว่าอยากเรียนสายอาชีพ เพราะจบมามีโอกาสที่จะมีงานทำสูง กระทั่งอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าแนะนำให้มาเรียนที่อุเทนถวายในสาขาดังกล่าว เพราะเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน และมีผู้เรียนน้อย และโอกาสที่จบมาแล้วได้งานทำมีสูง จึงให้ลูกชายเรียนอย่างที่อยากเรียนเพราะเขาโตแล้ว ผมก็ดูข่าวทางโทรทัศน์อยู่ตลอด เห็นข่าวนักเรียนตีกัน หรือถูกฆ่าตายก็คิดตลอดว่าเป็นลูกของผมหรือเปล่า ไม่คิดว่าวันนี้คนในข่าวจะเป็นลูกผมจริง ๆ" นายศิริพงษ์ กล่าว
ด้าน พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนกำลังสอบปากคำพยานทั้งหมด รวมทั้งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้นพบปลอกกระสุนขนาด 11 มม.จำนวน 5 ปลอก ส่วนการติดตามคนร้ายคาดว่าน่าจะได้ตัวเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจพอจะได้เบาะแสบ้างแล้ว สำหรับเหตุการณ์นี้อาจารย์ก็มีส่วนสำคัญเพราะทุกคนต่างก็รักสถาบัน อยากให้ทุกหน่วยงานร่วมกันแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และฝากไปถึงผู้บริหาร อาจารย์ และนักศึกษา เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลเสียหลายอย่าง
พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่มีการเสนอให้ปิดสถาบันทั้ง 2 สถาบันนั้น เบื้องต้นเคยทำเรื่องเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และประสานไปยัง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการประชุมปรึกษากันอยู่เพราะอยากให้เหตุการณ์นี้เป็นกรณีสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ตนจะพยายามหามาตรการที่ดีที่สุดเพื่อแก้ปัญหา
นายสืบพงษ์ ม่วงชู รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายบริหารงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นจากอาจารย์และเพื่อนของผู้ตายที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ปกติจะไม่อนุญาตให้นักศึกษาเข้ามาพักในสถาบัน แต่เนื่องจากว่าในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ สถาบันจะมีการซ้อมพระราชทานปริญญาบัตร จึงอนุญาตให้นักศึกษามาทำซุ้มได้ และในช่วงที่เกิดเหตุนักศึกษากลุ่มนี้เป็นเวรที่จะไปเปลี่ยนดอกไม้ถวายพระวิษณุกรรมและเกิดเหตุขึ้น
"ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยมีมาตรการป้องกันเรื่องนี้มาตลอด เช่น จ้างตำรวจมาเฝ้าที่สถาบันในช่วงนอกเวลาราชการ วันละ 4 คน ค่าใช้จ่ายเดือนละ 5 หมื่นบาท แต่จากนี้ไปจะขอให้อาจารย์ช่วยดูแลนักศึกษาทุกคนอย่างเต็มที่ และขอให้ระมัดระวังตัวอยู่ในความสงบ ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่อยากจะไปโทษว่าเป็นฝีมือของใคร นอกจากนี้มหาวิทยาลัยจะต้องสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นเสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการต่อไป ส่วนเรื่องของนักศึกษาที่เสียชีวิตนั้น สถาบันจะต้องดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่" นายสืบพงษ์ กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก







