เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย
สถานการณ์ทางการเมืองกำลังระอุและร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวการเข้าสลายการชุมนุมของรัฐบาล เพื่อกดดันให้ทางกลุ่ม นปช. ออกจากพื้นที่ราชประสงค์ และก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หลัง เสธ.แดง หรือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ถูกลอบยิง ขณะกำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน งานนี้ทำเอาหลายคนอึ้ง! และหวาดเสียวไปตาม ๆ กัน ขณะที่สำนักข่าว CNN ได้รายงานถึงการลอบยิง เสธ.แดง และสันนิษฐานว่า มีสไนเปอร์ทำการซุ่มยิง เสธ.แดง โดยการใช้ปืนไรเฟิล ยิงมาจากระยะไกล
พูดมาถึงตรงนี้หลายคนอาจงงว่า สไนเปอร์ กับ ปืนไรเฟิล คืออะไร วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปรู้จักกับคำ ๆ นี้กันค่ะ
สไนเปอร์ (Sniper) หากแปลเป็นภาษาไทยก็คือ "พลซุ่มยิง" หมายถึง ผู้ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างชำนาญและเชี่ยวชาญในการยิงปืนระยะไกล โดยทำหน้าที่ยิงเพื่อหวังผลในการจำกัดการเคลื่อนไหวของข้าศึกจากระยะไกล รวมถึงต้องมีการอำพรางตัวเพื่อไม่ให้ข้าศึกรู้ตัวระหว่างซุ่มยิงอีกด้วย ซึ่ง พลซุ่มยิง มักจะต้องทำงานควบคู่กันกับ พลชี้เป้า หรือ สปอตเตอร์ (Spotter) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปฏิบัติงาน
สำหรับผู้ที่จะเข้าคัดเลือกเป็นสไนเปอร์ได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติพิเศษตามระเบียบราชการ สนาม 23 -10 การฝึกสไนเปอร์ (FM-23 -10 Sniper Training) ของกองทัพบกสหรัฐฯ โดยมีแนวทางการคัดเลือก 6 ข้อ ดังนี้
1. แม่นปืน เพราะการยิงปืนคือเป้าหมายหลักของหน้าที่สไนเปอร์ อีกทั้งถ้าหากเคยผ่านการแข่งขันยิงปืน หรือเคยล่าสัตว์มาก่อน ก็จะเป็นคุณสมบัติที่ได้เปรียบในการพิจารณา
2. ไม่ผิดปกติทางสายตาและการมองเห็น โดยจะต้องไม่ใส่แว่นสายตา เนื่องจากเป็นการเสี่ยงต่อความผิดพลาดหากมีการชำรุดหรือสูญหายของแว่นสายตา ในทีนี้รวมไปถึงจะต้องไม่ตาบอดสีอีกด้วย เพราะอาจจะแยกเป้าหมายผิดได้
3. สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อการมีพละกำลังในการปฏิบัติงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยหากเคยเป็นนักกีฬามาก่อนจะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ
4. ไม่สูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้เกิดความผิดพลาดหลายอย่างได้ง่าย เช่น ควันของบุหรี่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นการซุ่มยิง อีกทั้งการสูบบุหรี่ก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการยิงลดลงด้วย
5. มีความมั่นคงในอารมณ์สูง เนื่องจากการปฏิบัติงานจริงนั้น มีภาวะกดดันต่าง ๆ สูง การทำใจให้มั่นคง จะทำให้มีสมาธิในการลั่นไก ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม
6. สติปัญญาดี เพราะผู้ที่จะเข้ารับการฝึกฝนจะต้องเกี่ยวข้องกับขีปนาวุธหลายอย่างในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการปรับแต่งอุปกรณ์ช่วยเล็ง การใช้วิทยุสื่อสาร การตรวจการ การปรับการยิงเครื่องยิงลูกระเบิดและปืนใหญ่ รวมถึงการเดินแผนที่และเข็มทิศ อีกทั้งยังรวบรวมและรายงานข่าวสาร รวมถึงการพิสูจน์ฝ่าย และอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย หากมีสติปัญญาและไหวพริบดีจะทำให้เข้าใจได้ง่าย
ซึ่งหลักการของการซุ่มยิงจะมีอยู่ 3 ขั้นตอนหลัก คือ
ขั้นที่ 1 การแทรกซึม
ถือเป็นการปฏิบัติที่มีความสำคัญกับภารกิจอย่างมาก เนื่องจากหากถูกตรวจพบก็จะทำให้การปฏิบัติภารกิจล้มเหลว และก่อให้เกิดอันตรายกับสไนเปอร์ด้วย โดยจะต้องมีการวางแผนที่จะแทรกซึมอย่างรัดกุม เช่น มีการลวงข่าว อาศัยความเร็ว ความคล่องตัว และการพรางตัว โดยการแทรกซึมนั้นสามารถแยกออกได้ 3 รูปแบบ คือ การแทรกซึมทางอากาศ, การแทรกซึมทางบก, และการแทรกซึมสะเทินน้ำทะเทินบก
ขั้นที่ 2 การปฏิบัติต่อเป้าหมาย
ขั้นตอนนี้สามารถแบ่งย่อย ๆ ออกเป็น การเคลื่อนที่เข้าหาเป้าหมาย, การเลือกจุดวางตัว, การวางตัวและตรวจการณ์, การรายงาน และการถอนตัวออกจากจุดวางตัว
ขั้นที่ 3 การถอนตัว
การถอนตัว สามารถกระทำได้โดยทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางยานยนต์ นอกจากนี้ ซึ่งสไนเปอร์ จะต้องเตรียมการในเรื่องของ การหลบหลีกและหลีกหนี (Evasion and Escape) ไว้ด้วย เมื่อถูกไล่ตามจากฝ่ายตรงข้าม
ในอดีตการใช้ชุดซุ่มยิงลาดตระเวน มีประโยชน์มากในการจำกัดการเคลื่อนไหว หรือการปฏิบัติการของข้าศึก ชุดซุ่มยิงลาดตระเวน 1 ชุด สามารถที่จะหยุดการเคลื่อนที่ของทหารได้ถึงหนึ่งกองพลเลยทีเดียว
รู้จักกับสไนเปอร์แล้ว ก็มาทำความรู้จักกับ ปืนไรเฟิล (Rifle) ที่มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า ปืนเล็กยาว กันต่อเลยค่ะ
ปืนไรเฟิล หรือ อาวุธซุ่มยิงคู่กายของสไนเปอร์ ถูกออกแบบมาให้ยิงด้วยการประทับไหล่ ภายในลำกล้องมีการเซาะให้เป็นสันเกลียว (Land) และร่องเกลียว (Groove) ซึ่งสันเกลียวจะสัมผัสกับหัวกระสุนและรีดหัวกระสุนไปตามสันเกลียวโดยหมุนควงรอบตัวเอง เพื่อให้หัวกระสุนไม่กลับหัวกลางอากาศ และเพิ่มความแม่นยำของอานุภาพในการสังหาร เปรียบเสมือนกับการขว้างลูกบอลในกีฬาอเมริกันฟุตบอล หรือ กีฬารักบี้
โดยคำว่า ไรเฟิล (Rifle) มาจาก Rifling ที่แปลว่าการทำให้เป็นร่อง นิยมใช้ในราชการสงคราม การล่าสัตว์ หรือกีฬายิงปืน โดยปืนไรเฟิลนั้นมีด้วยกันหลายรูปแบบ เพื่อนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างกันไป