18 ปีผ่านไป... จากพฤษภาทมิฬ 35 สู่พฤษภาเลือด 53



เหตุการณ์พฤษภาเลือด ปี 2553


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ยังจำกันได้ไหม? เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในเมืองไทยเรา และถึงแม้จะผ่านมาแล้ว 18 ปีแล้ว แต่เหตุการณ์นั้นยังอยู่ในความทรงจำของคนไทยหลายคน ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นกับวันนี้มีบางอย่างที่คล้ายกันนั้นคือการเกิดโศกนาฏกรรมทางการเมือง หลังจากมีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย จนนำมาสู่การนองเลือดในที่สุด

         
ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ความขัดแย้งเมื่อปี 2535 พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น เคยยืนยันหนักแน่นหลายครั้งว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวหรือรับตำแหน่งใด ๆ ทางการเมือง แต่เหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อ พล.อ.สุจินดา และคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ทำการรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลที่ว่า รัฐบาลชุดนี้มีปัญหาคอรัปชั่นร้ายแรง และพล.อ.สุจินดา ก็ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงคัดค้านที่ท้วงติงว่า ท่านกลืนน้ำลายตัวเอง จนเป็นที่มาของคำว่า "เสียสัตย์เพื่อชาติ" อีกทั้งการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ จนนำมาซึ่งประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่เป็นประชาธิปไตย

          ความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.สุจินดา ในครั้งนั้น ทำให้เกิดการชุมนุมต่อต้านอย่างหนัก โดยมี พล.ต. จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรมในขณะนั้น เป็นแกนนำ รวมไปถึง ร.ต.ฉลาด วรฉัตร, นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล, น.พ.เหวง โตจิราการ, น.พ. สันต์ หัตถีรัตน์, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ, น.ส. จิตราวดี วรฉัตร และนายวีระ มุสิกพงศ์  โดยแกนนำใช้วิธีการอดอาหารประท้วง เพื่อให้รัฐบาล พล.อ.สุจินดา ออกจากตำแหน่ง

          คืนวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 นักศึกษาและประชาชนราว 500,000 คน มาชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวง โดยมีการเคลื่อนขบวนจากสนามหลวง ผ่านราชดำเนินกลาง เพื่อมุ่งสู่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตำรวจและทหารได้มีการสกัดการเคลื่อนขบวนของประชาชน จนเป็นเหตุให้ปะทะกัน อีกทั้งยังมีการเผาทำลาย สน.นางเลิ้ง จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศใช้แผนไพรรีพินาศขั้นที่ 3 คือการปราบปรามขั้นเด็ดขาด จากนั้นทหารและตำรวจกว่า 6,000 นาย พร้อมรถถังและรถหุ้มเกราะ จึงปฏิบัติการเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ โดยระดมยิงผู้ชุมนุมไล่ไปจนถึงกรมประชาสัมพันธ์และโรงแรมรัตนโกสินทร์ ซึ่งผลจากการสลายชุมนุมในครั้งนั้นทำให้นักศึกษาและประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปหลายร้อยคน สูญหายและบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก และเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ถูกเรียกและเป็นที่จดจำของประชาชนในชื่อ "พฤษภาทมิฬ"

          ต่อมาในช่วงค่ำของวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 มีการประกาศเคอร์ฟิวจากกระทรวงมหาดไทย ห้ามประชาชนออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น. จากนั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ได้พา พล.ต. จำลอง และ พล.อ. สุจินดา เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นทุกอย่างก็คลี่คลายท่ามกลางเสียงโห่ร้องของประชาชน โดยในวันที่ 24 พฤษภาคม 2535 พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกและไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศระยะหนึ่ง และกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน



พลตรี จำลอง ศรีเมือง



         18 ปีต่อมา เหตุการณ์นั้นก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่มาพร้อมกับสัญลักษณ์ประจำกลุ่มคือสีแดง ออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภาเพื่อทำการเลือกตั้งใหม่ เพราะเหตุผลเดียวกับเมื่อ 18 ปีที่แล้ว คือ นายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยแกนนำจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อ 18 ปีก่อน อย่าง นพ.เหวง โตจิร

          หลังจากชุมนุมยืดเยื้อกินเวลาหลายเดือน ตั้งแต่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จนย้ายที่ชุมนุมใหม่เป็นย่านธุรกิจอย่างสี่แยกราชประสงค์ สีลม สวนลุมพินี และบ่อนไก่ ทำให้ศูนย์อำนวยการฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ดูแลความเรียบร้อยในเรื่องนี้ จึงเข้าทำการสลายการชุมนุมของผู้ชุมนุม ด้วยการใช้กำลังทหาร กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และโล่ป้องกันตัว โดยจะมีการกำหนดเขตพื้นที่ที่จะใช้กระสุนจริง กับผู้ที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยเท่านั้น อีกทั้งยังมีการตัดน้ำ ตัดไฟ ประกาศให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่การชุมนุม หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เพื่อป้องกันอันตราย และเพื่อให้ทาง ศอฉ. ดำเนินการสะดวกขึ้น ในที่สุดก็มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 35 คน จนเป็นที่มาของการเรียกขานอีกครั้งในชื่อใหม่ว่า "พฤษภาเลือด"

          เมื่อมาถึงวันนี้ที่เป็นวันครบรอบ 18 ปี ของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่สร้างความสูญเสียให้ประเทศชาติและประชาชน ได้วนกลับมาอีกครั้งในวันเวลาและรายละเอียดที่ต่างจากเดิม แต่สุดท้ายสิ่งที่ทุกฝ่ายเรียกร้องก็ยังคงมีจุดมุ่งหมายเดิมนั่นก็คือ "ประชาธิปไตย" โดยมีความสูญเสีย การล้มหายตายจากเช่นเดิม แบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีที่แล้ว เพื่อสิ่งที่เรียกร้องโดยไม่รู้ว่าจะยุติลงเมื่อใด และต้องเผชิญกับความสูญเสียอีกเท่าไร ประชาชนคนบริสุทธิ์จึงจะกลับมาใช้ชีวิตปกติสุขได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องอดทนอยู่ท่ามกลางรอยเลือดและความหวาดระแวง. . .

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
18 ปีผ่านไป... จากพฤษภาทมิฬ 35 สู่พฤษภาเลือด 53 อัปเดตล่าสุด 17 พฤษภาคม 2553 เวลา 15:39:25 24,755 อ่าน
TOP
x close