ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโลกฟีฟ่า (อังกฤษ : FIFA World Cup) หนึ่งในกีฬาที่มีคนสนใจมากที่สุดในโลก ซึ่ง ประวัติฟุตบอลโลก มีความเป็นมาตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันอย่างไร ใครครองแชมป์บ้าง ไปดูกัน
ถ้าให้นึกถึงมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก โดยไม่นับกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่างโอลิมปิกแล้ว เชื่อเลยว่า ร้อยทั้งร้อยก็ต้องนึกถึง "ฟุตบอลโลก" โดยในครั้งล่าสุดได้จัดขึ้นที่ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน - 18 ธันวาคม 2565 ดังนั้นเราจะมาย้อนดูเกร็ดประวัติฟุตบอลในรายการระดับโลกนี้ รวมถึงสถิติต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับประวัติฟุตบอลโลก
จุดเริ่มต้นของฟุตบอลโลก
ประวัติฟุตบอลโลกมีจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นมาจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ต้องการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการระดับโลกที่นอกเหนือจากโอลิมปิก เนื่องจากมองว่าการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกนั้น เป็นการแข่งขันสำหรับมือสมัครเล่น ซึ่งแนวคิดนี้เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1914 แต่กว่าจะได้เริ่มจัดการแข่งขันจริง ๆ ก็ต้องรอยุคจูลส์ ริเม่ต์ เป็นประธานฟีฟ่า โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย
ประวัติฟุตบอลโลก ทั้งหมด 21 ครั้งที่ผ่านมา (ปี : เจ้าภาพ)
ฟุตบอลโลก 930 : อุรุกวัย
ฟุตบอลโลกครั้งแรก มีทั้งหมด 13 ทีมด้วยกัน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม นำอันดับ 1 ของแต่ละกลุ่มเข้ารอบรองชนะเลิศ ก่อนที่คู่ชิงชนะเลิศ จะเป็นการพบกันระหว่าง อุรุกวัย เจ้าภาพ กับอาร์เจนตินา ซึ่งอุรุกวัยก็สามารถเอาชนะไปได้ 4-2 คว้าแชมป์โลกมาครองได้เป็นสมัยแรก
ฟุตบอลโลก 934 : อิตาลี
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ อุรุกวัย แชมป์เก่า ไม่ได้เข้าร่วมเพื่อป้องกันแชมป์ โดยการแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 16 ทีม จัดการแข่งขันในรูปแบบแพ้คัดออก ซึ่งก็เป็นอิตาลี เจ้าภาพ เข้าชิงกับ เชโกสโลวาเกีย ก่อนที่จะชนะไปได้ 2-1 คว้าแชมป์โลกสมัยแรกไปครอง
ฟุตบอลโลก 1938 : ฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ยังคงจัดบนผืนแผ่นดินยุโรป โดยที่รูปแบบจัดการแข่งขันก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิม มี 16 ทีมเข้าร่วม เตะแบบแพ้คัดออก แล้วก็เป็นอิตาลี ที่สามารถป้องกันแชมป์ได้ โดยเอาชนะฮังการี 4-2
ฟุตบอลโลก 1950 : บราซิล
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 ห่างจากฟุตบอลโลกครั้งก่อนถึง 12 ปี สืบเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 15 ทีม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม นำอันดับ 1 ของแต่ละกลุ่มเข้าสู่รอบสุดท้าย แข่งแบบพบกันหมด ซึ่งไฮไลต์สำคัญอยู่ที่นัดสุดท้าย บราซิล พบ อุรุกวัย โดยที่ตารางคะแนนตอนนั้น หากบราซิลไม่แพ้ ก็จะคว้าแชมป์โลกทันที อย่างไรก็ตาม บราซิลกลับแพ้ไป 1-2 ทำให้อุรุกวัยคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 2 ท่ามกลางความโศกเศร้าของชาวบราซิลกว่า 2 แสนคนที่อยู่ในสนาม
ฟุตบอลโลก 1954 : สวิตเซอร์แลนด์
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 ไฮไลต์สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้น การคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยแรกของเยอรมนีตะวันตก โดยที่สามารถโค่นฮังการี ซึ่งมีดีกรีเหรียญทองโอลิมปิก 1952 ไปได้ 3-2 ทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 0-2 นอกจากนี้ ผลงานที่ทั้งคู่เจอกันในรอบแรก ฮังการีเป็นฝ่ายชนะแบบถล่มทลาย 8-3 ด้วยเหตุนี้นัดชิงชนะเลิศนัดนี้จึงถูกเรียกว่า "The Miracle of Bern" (เบิร์น คือเมืองที่จัดการแข่งขันนัดนี้)
ฟุตบอลโลก 1958 : สวีเดน
ฟุตบอลโลกบนดินแดนไวกิ้ง ถือเป็นฟุตบอลโลกแจ้งเกิดของชายหนุ่มที่ชื่อ เปเล่ อย่างแท้จริง โดยบราซิล สามารถลบล้างความผิดหวังจาก ค.ศ. 1950 ได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยการเอาชนะเจ้าภาพ สวีเดน 5-2 อีกทั้งเกมนี้ เปเล่ ยังจัดการซัด 2 ประตูอีกด้วย ส่วนแชมป์เก่าอย่างเยอรมนีตะวันตก คว้าได้เพียงอันดับ 4 แพ้ฝรั่งเศส ในรอบชิงที่สาม 3-6
ฟุตบอลโลก 1962 : ชิลี
บราซิล นับเป็นชาติที่สองที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ ต่อจากอิตาลี ที่สามารถป้องกันแชมป์ได้ในปี 1934 และ 1938 ซึ่งในรอบชิงชนะเลิศ บราซิลสามารถเอาชนะเชโกสโลวาเกียไปได้ 3-1 ส่วนหนุ่มน้อยเปเล่นั้น ในทัวร์นาเมนต์นี้ทำได้เพียง 1 ประตู
ฟุตบอลโลก 1966 : อังกฤษ
ฟุตบอลโลกหนนี้ ได้ถูกจัดขึ้นในประเทศที่เป็นต้นตำรับฟุตบอลอย่างอังกฤษ มีเหตุการณ์โดดเด่น นั่นคือ เกาหลีเหนือ สามารถชนะ อิตาลี 1-0 ในรอบแรก พร้อมกับทะลุเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก ก่อนพ่ายโปรตุเกส 3-5 ส่วนนัดชิงชนะเลิศครั้งนี้ ก็เป็นที่กล่าวขานไปอีกนาน กับลูกยิงของ เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์ต ที่ยิงชนคาน ก่อนเด้งลงบนเส้นประตูอย่างรวดเร็ว ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งผู้ตัดสินก็ตัดสินให้เป็นประตู ทำให้อังกฤษขึ้นนำเยอรมนีตะวันตก 3-2 ท่ามกลางการถกเถียงกันอย่างยาวนานว่า ลูกนี้เข้าหรือไม่เข้า อย่างไรก็ตาม เฮิร์ตได้ยิงเพิ่มอีก 1 ประตู กลายเป็นแฮตทริกที่ส่งอังกฤษทะยานเป็นแชมป์โลกครั้งแรก และครั้งเดียวจนถึงทุกวันนี้
ฟุตบอลโลก 1970 : เม็กซิโก
ฟุตบอลโลกบนดินแดนจังโก้หนแรก ฟีฟ่า ได้ยื่นเงื่อนไขว่า หากชาติใดคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 3 ก่อน ก็จะได้กรรมสิทธิ์ถ้วยจูลส์ ริเม่ต์ ไปครอง และกลายเป็นบราซิล สามารถคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 3 โดยโค่นอิตาลี แชมป์โลก 2 สมัย ไป 4-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ส่วนแชมป์เก่า อังกฤษ ถูกเยอรมนีตะวันตกถอนแค้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย 3-2
ฟุตบอลโลก 1974 : เยอรมนีตะวันตก
นับเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ใช้ถ้วยการแข่งขันถ้วยใหม่ นั่นคือ ถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ อีกทั้งยังเป็นการแข่งขันที่มีศึกสายเลือด คือ เยอรมนีตะวันตกและเยอรมนีตะวันออก อยู่ร่วมกลุ่มกันในรอบแรก ซึ่งการพบกันของทั้งสองทีม เป็นฝั่งตะวันออกชนะตะวันตกไปได้ 1-0 แต่ถึงอย่างไรก็ควงคู่กันเข้ารอบ ส่วนรอบ 2 มีทั้งหมด 8 ทีม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มการแข่งขัน คัดที่ 1 ของกลุ่มเข้าชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 2 ของกลุ่มชิงที่ 3 ผลปรากฏว่า รอบชิงชนะเลิศเป็นการพบกันระหว่างเยอรมนีตะวันตกกับเนเธอร์แลนด์ แล้วก็เป็นเยอรมนีตะวันตกที่คว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 2 บนแผ่นดินของตัวเอง
ฟุตบอลโลก 1978 : อาร์เจนตินา
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ได้แชมป์โลกหน้าใหม่ นั่นคือ อาร์เจนตินา โดยสามารถเอาชนะเนเธอร์แลนด์ 3-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้เนเธอร์แลนด์ต้องอกหักเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน และฟุตบอลโลกครั้งนี้ จะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายที่จะแข่งขันกัน 16 ทีม
ฟุตบอลโลก 1982 : อิตาลี
เป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกขยายทีมเพิ่มขึ้นเป็น 24 ทีม รอบแรกแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม คัด 2 ทีมที่ดีที่สุดแต่ละกลุ่มเข้ารอบสอง โดยรอบสองมี 12 ทีม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม คัดอันดับ 1 ของกลุ่ม จำนวน 4 ทีม เข้ารอบรองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศต่อไป ซึ่งก็เป็นอิตาลี ที่สามารถทะลุเข้าไปชิงกับเยอรมนีตะวันตก ก่อนที่จะคว้าแชมป์โลกได้เป็นผลสำเร็จด้วยสกอร์ 3-1 เป็นแชมป์โลกสมัยที่ 3 และเป็นแชมป์โลกครั้งแรกในรอบ 44 ปี
ฟุตบอลโลก 1986 : เม็กซิโก
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ กลับมาจัดที่เม็กซิโกอีกครั้ง เนื่องจากโคลอมเบีย เจ้าภาพ ได้ถอนตัวออกไป ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ถือกำเนิดเหตุการณ์ หัตถ์พระเจ้า พร้อมกับการแจ้งเกิดของดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะอาร์เจนตินาอีกด้วย โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่ออาร์เจนตินา พบ อังกฤษ ซึ่งมาราโดน่า ได้ใช้มือปัดบอลเข้าประตู ท่ามกลางคนดูที่เห็นกันทั่วสนาม ยกเว้นผู้ตัดสิน ทำให้อาร์เจนตินา ขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่มาราโดน่า จะลากลุยคนเดียวครึ่งสนาม เข้าไปยิงให้อาร์เจนตินา นำ 2-0 ก่อนเกมจบลงด้วยชัยชนะ 2-1 ส่วนนัดชิงชนะเลิศ ก็เป็นอาร์เจนตินา ชนะ เยอรมนีตะวันตก ไปได้ 3-2 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในรอบ 8 ปี
ฟุตบอลโลก 1990 : อิตาลี
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับศึกอิตาเลีย 90 นั่นคือ แชมป์เก่า อาร์เจนตินา เปิดสนามพ่ายแคเมอรูน แบบช็อกโลก 0-1 แต่ถือว่าโชคดีที่ยังสามารถคว้าตำแหน่งอันดับ 3 ที่ดีที่สุดไปได้ ก่อนที่จะทะลุเข้าชิงชนะเลิศไปได้อย่างหืดจับ
ส่วนไฮไลต์สำคัญของทัวร์นาเมนต์อีกเกมหนึ่งคือ เยอรมนีตะวันตก เอาชนะการดวลจุดโทษอังกฤษ ในรอบรองชนะเลิศ เข้าไปชิงชนะเลิศกับอาร์เจนตินา เป็นการรีแมตช์นัดชิง ปี 1986 ก่อนที่อันเดรีย เบรเม่ห์ จะยิงจุดโทษนาทีที่ 85 ให้เยอรมนีตะวันตก ล้างแค้นอาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3
ฟุตบอลโลก 1994 : สหรัฐอเมริกา
ฟุตบอลโลกบนแผ่นดินที่เรียกฟุตบอลว่า ซอคเกอร์ นับว่าเกิดเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่ทีมชั้นนำอย่าง อังกฤษและฝรั่งเศส ไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกได้, การลอบสังหารอันเดรส เอสโคบาร์ กองหลังโคลอมเบีย หลังสกัดบอลเข้าประตูตัวเอง ทำให้โคลอมเบียตกรอบแรก, ท่ากล่อมลูกหลังยิงประตูได้ของเบเบโต้ กองหน้าบราซิล จนโด่งดังไปทั่วโลก, ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะของอาร์เจนตินา ถูกตรวจพบสารกระตุ้น จึงโดนไล่กลับประเทศ หรือเหตุการณ์ที่พระเอกตายตอนจบ เมื่อโรแบร์โต บัจโจ้ กองหน้าอิตาลี ยิงหลายประตูตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ช่วยอิตาลีให้ทะลุถึงนัดชิงชนะเลิศได้ แต่สุดท้ายตัวเองก็กลายเป็นคนที่ยิงจุดโทษพลาด ทำให้บราซิลคว้าแชมป์โลกสมัย 4
ฟุตบอลโลก 1998 : ฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่มีทีมเข้าร่วม 32 ทีม เนื่องจากมีจำนวนชาติที่มากขึ้น จากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการแตกประเทศของยูโกสลาเวีย โดยฟุตบอลโลกครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการแจ้งเกิดของโครเอเชีย ประเทศน้องใหม่อย่างแท้จริง เพราะสามารถคว้าอันดับ 3 มาครองได้ แถมยังสามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนี 3-0 และเนเธอร์แลนด์ 1-0 ส่วนนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก เจ้าภาพ ฝรั่งเศส สามารถโค่นแชมป์เก่า บราซิล 3-0 เปิดซิงแชมป์โลกสมัยแรก ขณะที่เหตุการณ์อื่น ๆ ที่โด่งดังก็มี เดวิด เบ็คแฮม ถูกใบแดงไล่ออกในเกมที่พ่ายดวลจุดโทษอาร์เจนตินา รอบ 16 ทีมสุดท้าย จนกลายเป็นแพะรับบาปของชาวอังกฤษอยู่นาน รวมถึงการแจ้งเกิดของไมเคิล โอเว่น อย่างเป็นทางการอีกด้วย
ฟุตบอลโลก 2002 : เกาหลีใต้และญี่ปุ่น
เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วม และเป็นการจัดฟุตบอลโลกในทวีปเอเชียเป็นครั้งแรกอีกด้วย โดยการแข่งขันครั้งนี้ นับว่าเกิดเรื่องช็อกโลกหลายอย่าง อาทิ เต็ง 1 และ 2 อย่างฝรั่งเศส แชมป์เก่า และอาร์เจนตินา ต่างตกรอบแรกด้วยกันทั้งคู่, เดวิด เบ็คแฮม ยิงจุดโทษให้อังกฤษชนะอาร์เจนตินาในรอบแรก หรือการที่เจ้าภาพ เกาหลีใต้ ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศ ท่ามกลางความกังขาของคนดู, เซเนกัล ได้เล่นฟุตบอลโลกหนแรกและเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และบราซิล สามารถคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 5 ทั้งที่ไม่ได้เป็นทีมเต็งแชมป์ สามารถเอาชนะเยอรมนี ไปได้ 2-0
ฟุตบอลโลก 2006 : เยอรมนี
เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่ค่อยมีเกมการแข่งขันที่พลิกล็อกเท่าใดนัก โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่นัดชิงชนะเลิศระหว่างอิตาลี พบ ฝรั่งเศส เพราะเป็นการลงเล่นนัดสุดท้ายของซีเนดีน ซีดาน จอมทัพฝรั่งเศส ฮีโร่พาทีมคว้าแชมป์โลกปี 1998 และเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ฝรั่งเศสทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเกมนี้ซีดาน ยิงจุดโทษอย่างเหนือชั้นให้ฝรั่งเศสขึ้นนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่อิตาลีจะมาตีเสมอได้โดยมาร์โก มาเตราซซี่ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ช็อกโลกก็เกิดขึ้น เมื่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซีดานไปโขกใส่หน้าอกมาเตราซซี่ จนถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และเกมนั้น อิตาลีก็ชนะดวลจุดโทษฝรั่งเศส 5-3 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ส่วนซีดานก็จบชีวิตการค้าแข้งได้ไม่สวยงามนัก
ฟุตบอลโลก 2010 : แอฟริกาใต้
ฟุตบอลโลกครั้งแรกบนแผ่นดินกาฬทวีป ซึ่งก็เกิดเหตุพลิกล็อกขึ้นเมื่อแชมป์โลกและรองแชมป์โลกอย่าง อิตาลีและฝรั่งเศส ต่างตกรอบแรกด้วยกันทั้งคู่ สุดท้าย สเปนสามารถโค่นเนเธอร์แลนด์ 1-0 ในช่วงต่อเวลานัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์โลกสมัยแรกไปครอง และเป็นชาติยุโรปชาติแรกที่คว้าแชมป์นอกทวีปได้
ฟุตบอลโลก 2014 : บราซิล
ฟุตบอลโลก 2018 : รัสเซีย
ถือเป็นครั้งแรกที่รัสเซียและยุโรปตะวันออก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก และเป็นครั้งแรกที่ประเทศเจ้าภาพคาบเกี่ยวระหว่างสองทวีป คือ ยุโรปกับเอเชีย คู่ชิงชนะเลิศปีนี้ คือ ฝรั่งเศส กับ โครเอเชีย ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศนี้ได้มีแฟนบอลจำนวนหนึ่งลงมาป่วนการแข่งขันในสนาม จนต้องเบรกเกม แต่ในที่สุดฝรั่งเศสก็สามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ไปครอง ในรอบ 20 ปี
ฟุตบอลโลก 2022 : กาตาร์
ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 22 จัดระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายนถึง 18 ธันวาคม 2022 นี้ถือเป็นครั้งแรกที่การแข่งขันชิงแชมป์โลกจัดขึ้นในโลกอาหรับและเป็นครั้งที่สองที่จัดขึ้นทั้งหมดในเอเชีย ภายหลังจากที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมในปี 2002 การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือดและสุดท้ายอาร์เจนติน่าก็คว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่สาม หลังจากเอาชนะฝรั่งเศสไปในการดวลจุดโทษ 4-2 หลังจากที่จบ 120 นาทีด้วยสกอร์เสมอกัน 3-3 และนับเป็นการแข่งขันที่ทำประตูรวมกันสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติการณ์ของฟุตบอลโลก ด้วยการทำประตูรวม 172 ประตู
สรุปทำเนียบแชมป์ฟุตบอลโลก
ค.ศ. |
แชมป์ฟุตบอลโลก |
1930 | อุรุกวัย |
1934 | อิตาลี |
1938 | อิตาลี |
1950 | อุรุกวัย |
1954 | เยอรมนีตะวันตก |
1958 | บราซิล |
1962 | บราซิล |
1966 | อังกฤษ |
1970 | บราซิล |
1974 | เยอรมนีตะวันตก |
1978 | อาร์เจนตินา |
1982 | อิตาลี |
1986 | อาร์เจนตินา |
1990 | เยอรมนีตะวันตก |
1994 | บราซิล |
1998 | ฝรั่งเศส |
2002 | บราซิล |
2006 | อิตาลี |
2010 | สเปน |
2014 | เยอรมนี |
2018 | ฝรั่งเศส |
2022 | อาเจนติน่า |
จำนวนชาติที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลก
บราซิล 5 สมัย (1958, 1962, 1970, 1994, 2002)
เยอรมนี 4 สมัย (1954, 1974, 1990, 2014)
อิตาลี 4 สมัย (1934, 1938, 1982, 2006)
อาร์เจนตินา 3 สมัย (1978, 1986, 2022)
อิตาลี 4 สมัย (1934, 1938, 1982, 2006)
อาร์เจนตินา 3 สมัย (1978, 1986, 2022)
อุรุกวัย 2 สมัย (1930, 1950)
อังกฤษ 1 สมัย (1966)
ฝรั่งเศส 2 สมัย (1998, 2018)
สเปน 1 สมัย (2010)
- บราซิล เป็นชาติเดียวที่เข้ามาร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกทุกครั้ง (21 ครั้ง)
- ชาติที่สามารถป้องกันแชมป์โลกได้ มี 2 ชาติ ได้แก่ อิตาลี (1934, 1938) และบราซิล (1958, 1962)
- มีเพียง 6 ชาติเท่านั้นที่เป็นเจ้าภาพและสามารถคว้าแชมป์โลกได้ ได้แก่ อุรุกวัย (1930), อิตาลี (1934), อังกฤษ (1966), เยอรมนีตะวันตก (1974), อาร์เจนตินา (1978) และฝรั่งเศส (1998)
- แอฟริกาใต้ เป็นชาติแรกและชาติเดียวที่เป็นเจ้าภาพและตกรอบแรก (2010)
- นักเตะที่ได้แชมป์โลกมากครั้งที่สุด คือ เปเล่ จากบราซิล (3 สมัย)
- ผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์โลกมากครั้งที่สุด ได้แก่ วิตตอริโอ ปอซโซ่ จากอิตาลี (2 สมัย)
- เยอรมนี เป็นชาติที่ลงเล่นฟุตบอลโลกในจำนวนนัดที่มากที่สุด (106 นัด)
- บราซิล เป็นชาติที่ชนะในฟุตบอลโลกมากที่สุด (70 นัด)
- นักเตะที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากสมัยที่สุด 5 ครั้ง ได้แก่ อันโตนิโอ คาร์บายัล จากเม็กซิโก (1950-1966), โลธาร์ มัทเธอุส จากเยอรมนีตะวันตก (1982-1998), ฟิลิปป์ ลาห์ม จากเยอรมนี (2006-2014)
- นักเตะที่เด็กที่สุดที่ได้เล่นฟุตบอลโลก คือ นอร์แมน ไวท์ไซด์ จากไอร์แลนด์เหนือ ปี 1982 อายุ 17 ปี 41 วัน
- นักเตะที่แก่ที่สุดที่ได้เล่นฟุตบอลโลก คือ ฟาริด มอนดรากอน จากโคลอมเบีย ปี 2014 อายุ 43 ปี 3 วัน
- นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลก คือ มิโรสลาฟ โคลเซ่ จากเยอรมนี ทั้งหมด 16 ประตู
- นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลก 1 สมัย ได้แก่ ฌัสต์ ฟงแต็ง จากฝรั่งเศส ยิงในปี 1958 ทั้งหมด 13 ประตู
- นักเตะที่ยิงประตูมากสุดในเกมเดียว ได้แก่ โอเล็ก ซาเลนโก้ จากรัสเซีย ในเกมที่พบกับแคเมอรูน ปี 1994 ทั้งหมด 5 ประตู
ฝรั่งเศส 2 สมัย (1998, 2018)
สเปน 1 สมัย (2010)
สถิติต่าง ๆ ที่น่าสนใจ
- บราซิล เป็นชาติเดียวที่เข้ามาร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกทุกครั้ง (21 ครั้ง)
- ชาติที่สามารถป้องกันแชมป์โลกได้ มี 2 ชาติ ได้แก่ อิตาลี (1934, 1938) และบราซิล (1958, 1962)
- มีเพียง 6 ชาติเท่านั้นที่เป็นเจ้าภาพและสามารถคว้าแชมป์โลกได้ ได้แก่ อุรุกวัย (1930), อิตาลี (1934), อังกฤษ (1966), เยอรมนีตะวันตก (1974), อาร์เจนตินา (1978) และฝรั่งเศส (1998)
- แอฟริกาใต้ เป็นชาติแรกและชาติเดียวที่เป็นเจ้าภาพและตกรอบแรก (2010)
- นักเตะที่ได้แชมป์โลกมากครั้งที่สุด คือ เปเล่ จากบราซิล (3 สมัย)
- ผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์โลกมากครั้งที่สุด ได้แก่ วิตตอริโอ ปอซโซ่ จากอิตาลี (2 สมัย)
- เยอรมนี เป็นชาติที่ลงเล่นฟุตบอลโลกในจำนวนนัดที่มากที่สุด (106 นัด)
- บราซิล เป็นชาติที่ชนะในฟุตบอลโลกมากที่สุด (70 นัด)
- นักเตะที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากสมัยที่สุด 5 ครั้ง ได้แก่ อันโตนิโอ คาร์บายัล จากเม็กซิโก (1950-1966), โลธาร์ มัทเธอุส จากเยอรมนีตะวันตก (1982-1998), ฟิลิปป์ ลาห์ม จากเยอรมนี (2006-2014)
- นักเตะที่เด็กที่สุดที่ได้เล่นฟุตบอลโลก คือ นอร์แมน ไวท์ไซด์ จากไอร์แลนด์เหนือ ปี 1982 อายุ 17 ปี 41 วัน
- นักเตะที่แก่ที่สุดที่ได้เล่นฟุตบอลโลก คือ ฟาริด มอนดรากอน จากโคลอมเบีย ปี 2014 อายุ 43 ปี 3 วัน
- นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลก คือ มิโรสลาฟ โคลเซ่ จากเยอรมนี ทั้งหมด 16 ประตู
- นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลก 1 สมัย ได้แก่ ฌัสต์ ฟงแต็ง จากฝรั่งเศส ยิงในปี 1958 ทั้งหมด 13 ประตู
- นักเตะที่ยิงประตูมากสุดในเกมเดียว ได้แก่ โอเล็ก ซาเลนโก้ จากรัสเซีย ในเกมที่พบกับแคเมอรูน ปี 1994 ทั้งหมด 5 ประตู