ญี่ปุ่นเริ่มใส่เชิ้ต-รองเท้าแตะ แทนสูท ตั้งเป้าลดใช้ไฟ 15%

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
          รัฐบาลญี่ปุ่นออกมาตรการรณรงค์ให้มนุษย์เงินเดือนของญี่ปุ่น เลิกสวมสูทและผูกเน็คไท หันมาสวมเสื้อเชิ้ตและรองเท้าแตะแทน โดยมีจุดประสงค์หลัก คือ การช่วยลดการใช้พลังงานในช่วงฤดูร้อนที่กำลังมาถึง ด้วยการริเริ่มโครงการ "Super Cool Biz" หลังประเทศประสบปัญหาการขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก จากวิกฤติโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ โดยรัฐบาลจัดให้มีการเดินแบบแสดงเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับการใส่ในฤดูร้อน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเหมาะสมในการทำงานและการติดต่อราชการ

          ทั้งนี้ รัฐบาลได้ร้องขอให้หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงภาคเอกชนลดการใช้ไฟฟ้าลงร้อยละ 15  โดยจำกัดการเปิดเครื่องปรับอากาศในช่วงฤดูร้อน และปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ 28 องศาเซลเซียส ซึ่งโครงการดังกล่าวเคยมีการนำมาใช้แล้วเมื่อปี 2005 ที่ริเริ่มโดย นางยูริโกะ โคอิเกะ รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน 

          ขณะที่ในปีนี้ วิกฤติสึนามิและแผ่นดินไหวซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ที่ผลิตไฟฟ้าให้กับพื้นที่กรุงโตเกียวและปริมณฑล ทำให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะรณรงค์ลดการใช้พลังงานอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ชุดทำงานที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมเห็นชอบและอนุญาตให้สามารถใส่ทำงานได้ ได้แก่ เสื้อโปโล เสื้อเชิ้ตแขนสั้น รองเท้าผ้าใบ แม้กระทั่งกางเกงยีนส์และรองเท้าแตะ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด 

          สำหรับชุดทำงานรูปแบบใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ เสื้อเชิ้ตแบบฮาวายที่ประชาชนในเขตหมู่เกาะโอกินาว่า นิยมสวมใส่ในช่วงฤดูร้อน หรือที่เรียกว่า "คาริยูชิ" และสามารถสวมใส่ได้ในการติดต่อราชการหรือการทำธุรกิจเช่นเดียวกับชุดสูท โดยเสื้อ "คาริยูชิ" เริ่มได้รับความนิยมนับตั้งแต่ที่ผู้นำจากกลุ่มประเทศกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ซึ่งรวมถึง นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เคยสวมใส่เมื่อครั้งที่จังหวัดโอกินาว่าเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดจี 8 (G8) เมื่อปี 2000

          นอกจากนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นยังหวังว่าจะสามารถต่อยอดโครงการนี้ออกไปใช้นอกสถานที่ทำงาน รวมถึงกระตุ้นให้ประชาชนใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการลดการใช้พลังงานในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งกระทรวงสิ่งแวดล้อมยังเสนอให้ใช้แผ่นลดความร้อน หรือบริโภคอาหารที่มีส่วนช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายด้วย



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก